สายแคมป์ปิ้ง เดิน ภูเขา สายลุย สายผจญภัยต้องไม่พลาดภูเขาอะดาตาระ (Adatara) ภูเขาอิสไซเคียว(Issaikyo) ที่สูง 1948.8 เมตร และเล่นน้ำพุร้อนที่ Extreme Onsen รวมถึงรูทท่องเที่ยวรอบๆ ฟุกุชิมะ
Klook.com คลิกดูที่เที่ยววันที่ 1
- สวนสาธารณะไคเซซัง (Kaiseizan Park)
- หมู่บ้านทาคาชิบะ เดโคยาชิกิ (Takashiba Dekoyashiki)
- ปราสาทนิฮงมัทสึ (Nihonmatsu Castle)
- จุดชมวิวบึงนาคาเสะนุมะ (Nakasenuma Observatory)
- Nakanosawa/Numajiri/Yokomukai Hot Spring Festival
คลิกดูที่เที่ยววันที่ 2
- ภูเขาอิสไซเคียว (Mt.Issaikyo)
- แคมป์ไซต์โนแวร์ (Nowhere Camp Site)
คลิกดูที่เที่ยววันที่ 3
- ภูเขาอะดาตาระ (Mt. Adatara)
- เอ็กซ์ตรีมออนเซ็น (Extreme Onsen)
คลิกดูที่เที่ยววันที่ 4
- วัดเอนิจิ (Enichi-ji Temple)
- วัดเอนโซจิ (Enzo-ji Temple)
- สวนคิโยฮิเมะ (Kiyohime Park)
- จุดชมวิวทาดามิ (First Tadami River Bridge)
- ลานกลางเต็นท์นุมาซาวะโคฮัง (Numazawakohan Camping Ground)
คลิกดูที่เที่ยววันที่ 5
- จุดชมวิวแม่น้ำทาดามิ (Tadami View Spot)
- จุดชมวิวคาเนยามะ (kaneyama fureai hiroba)
- ล่องเรือโบราณ (Mugenkyo no Watashi)
- โรงกลั่นสาเก (Nida-Honke)
- ศาลเจ้าทาคายาชิกิ Takayashiki Inari Shrine
1.สวนสาธารณะไคเซซัง (Kaiseizan Park)
หน้าร้อนปีนี้ เรามาหากิจกรรมมันส์ๆทำกันเถอะ ทริปนี้เลยมาลงตัวที่จ.ฟุกุชิมะ (Fukushima) เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติที่สมบูรณ์และมีแคมป์ไซต์หลากหลายให้เลือก เราออกเดินทางกันจากสถานีโคริยามะ(Koriyama)เพื่อไปหมู่บ้านงานฝีมือ แต่ระหว่างทางขอแวะสวนสาธารณะไคเซซัง (Kaiseizan Park) ก่อนสวนสาธารณะไคเซซังซึ่งทอดยาวอยู่หน้าศาลาว่าการโคริยามะเป็นสวนสาธารณะในเมืองที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโคริยามะ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ประชาชนว่าเป็นโอเอซิสในเมือง
Credit:Chill Chill Trip
ด้านในสวนกว้างมากๆ เด็กๆวิ่งกันสนุกสนานรวมถึงผู้ใหญ่อย่างเราด้วย แม้ว่าเพื่อนๆจะมาฤดูไหน ที่นี่ก็สนุกตลอดเวลา
Credit:Chill Chill Trip
สวนแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักในฐานะจุดชมซากุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัด โดยมีต้นซากุระประมาณ 1,300 ต้นบานสะพรั่ง รวมถึงศาลเจ้า Kaiseizan Grand ทางฝั่งตะวันตกของสวน สวนกุหลาบ และธีมพาร์คโปเกม่อนChansey ที่เด็กๆชอบมาก
Credit:Chill Chill Trip
หมู่บ้านงานฝีมือ ทาคาชิบะ เดโคยาชิกิ (Takashiba Dekoyashiki)
จากที่สวนเราเดินทางกันต่อไปยังหมู่บ้านงานฝีมือ เดโคยาชิกิ ฮิโคจิมิงเงอิ (Dekoyashiki Hikojimingei) ที่นี่มีงานฝีมือท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงมากๆ เช่น Miharu Koma เป็นของเล่นท้องถิ่นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นทั้งในด้านชื่อและความเป็นจริง และถูกใช้บนแสตมป์ปีใหม่ชุดแรกของญี่ปุ่น
Credit:Chill Chill Trip
ทาคาชิบะ เดโคยาชิกิเป็นหมู่บ้านช่างฝีมือในอดีต และครั้งหนึ่งเคยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอาณาจักรมิฮารุ กล่าวกันว่าชุมชนนี้มีอายุย้อนไปถึง 300 ปี
Credit:Chill Chill Trip
ในสมัยเอโดะเมื่อนักเดินทางจากเกียวโตสอนวิธีทำตุ๊กตาเปเปอร์มาเช่โดยใช้สีพิเศษที่เรียกว่า ‘นิกาวะ’
Credit:Chill Chill Trip
ผู้เยี่ยมชมสามารถลองวาดภาพงานฝีมือแบบดั้งเดิมต่างๆ รวมถึงตุ๊กตาไม้ม้ามิฮารุโคมะ นอกจากนี้รอบๆยังมีร้านค้าอีกสามแห่ง ที่มีงานฝีมือแตกต่างกันออกไป
Credit:Chill Chill Trip
เราชอบที่นี่มากๆ เพราะนอกจากจะได้ลองทำงานฝีมือในแบบต่างๆเป็นผลงานชิ้นเดียวของตัวเองแล้ว ผู้คนก็ใจดีมากๆ /p>
Credit:Chill Chill Trip
หากอยากนั่งพักผ่อน ก็มีคาเฟ่สวยๆ ให้ได้นั่งชมวิว ดื่มกาแฟอร่อยๆ ระหว่างวันด้วยนะ วิวแบบนี้ช่างฮีลใจจริงๆ
Credit:Chill Chill Trip
เพื่อนๆที่ชอบทางซอฟต์ครีม แนะนำว่าอย่าพลาดที่จะชิมซอฟต์ครีมของที่นี่นะ เข้มข้นอร่อยสุดๆ ราคา 350 เยนเท่านั้นเอง
Credit:Chill Chill Trip
ปราสาทนิฮงมัทสึ (Nihonmatsu castle)
ใกล้กัน เราแวะชมความงามของปราสาทกัน นี่คือปราสาทนิฮงมัตสึที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1643 โดยมิตสึชิเงะ นิวะ ขุนนางศักดินาคนแรกของเขตนิฮงมัทสึ
Credit:Chill Chill Trip
ปราสาทนิฮงมัทสึเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ที่กองกำลังโชกุนโทคุกาวะใช้ปราสาทแห่งนี้พังทลายลงในสงครามโบชินหลังจากการสู้รบที่ดุเดือด ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมของกองกำลังเยาวชนนิฮงมัทสึ ปัจจุบัน ซากปรักหักพังของปราสาทได้กลายเป็นอุทยานธรรมชาติประจำจังหวัดแล้ว
Credit:Chill Chill Trip
จุดชมวิวบึงนาคาเสะนุมะ (Nakasenuma Observatory)
ระหว่างทะเลสาบฮิบาระและทะเลสาบโอโนะกาวะในอุระบันได มีเส้นทางเดินที่สวยงาม เช่น Renge-numa, Nakasenuma และ Hibara-ko แต่หอดูดาว Nakasenuma ของ Nakasenuma walking tail นั้นดีมากและแนะนำ สำหรับผู้ที่ต้องการเดินและเพลิดเพลินกับธรรมชาติของโซน อุระบันได (Urabandai)
Credit:Chill Chill Trip
ทิวทัศน์จากหอดูดาวนากาเซนุมะเป็นหนึ่งในตัวแทนของอุระบันได จากหอดูดาว นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นภูเขาบันไดและนาคาเซะนุมะที่เกิดจากการปะทุของภูเขาบันได
Credit:Chill Chill Trip
สำหรับผู้ที่อยากมาชมใบไม้เปลี่ยนสี แนะนำ กลางต.ค.-ปลายต.ค. เส้นทางเดินเท้า Nakasenuma ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีสำหรับการเดินทางไปกลับ ส่วนเส้นทางเดิน Rengenuma เดินง่ายมากและใช้เวลาประมาณ 20 นาทีสำหรับการเดินทางไป-กลับ ไม่ไกลจากที่จอดรถเลย
Credit:Chill Chill Trip
ระหว่างเดินทาง เพื่อนๆจะได้เห็นต้นไม้แปลกๆของญี่ปุ่นเพียบเลย สำหรับที่นี่ ขอแนะนำให้เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมากๆแห่งหนึ่ง (อย่าลืมติดยากันแมลง ไล่ยุงไปด้วยนะ)
Credit:Chill Chill Trip
Nakanosawa/Numajiri/Yokomukai Hot Spring Festival
ครั้งนี้เราได้มีโอกาสไปร่วมงานรื่นเริงประจำปีของหมู่บ้านน้ำพุร้อนนาคาโนะซาวะและนุมาจิริ เมืองอินาวะชิโระ จ.ฟุกุชิมะด้วย
Credit:Chill Chill Trip
เทศกาล Nakanosawa, Numajiri, Yokomukai Onsen จัดขึ้นที่ Nakanosawa Onsen ซึ่งบริเวณนี้ถูกใช้เป็นรีสอร์ตน้ำพุร้อนตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1700 และมีน้ำพุร้อนที่ผลิตได้จำนวนมากที่สุดในญี่ปุ่น
Credit:Chill Chill Trip
เราสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำตั้งแต่เด็ก ๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่ ตั้งแต่งานสนุก ๆ เช่น ขบวนพาเหรด ลุ้นลอตเตอรี่ใหญ่ เกมส์ต่างๆ ชมพลุ และที่ชอบมากๆคือ การร่วมเต้นรำกับคนท้องถิ่นที่ใจดีมากๆค่ะ หากเพื่อนๆชอบ มาที่นี่ช่วงปลายเดือนกรกฏาคมนะคะ เค้ามีประกาศทุกปีจ้า
Credit:Chill Chill Trip
สำหรับคืนนี้ เราเลือกที่จะขึ้นไปนอนบนจุดชมวิว โดยเราเลือกจุดนอนแคมป์ที่ Nowhere Camp Site เมืองอินาวะชิโระ (Inawashiro) จ.ฟุกุชิมะ (Fukushima) ที่มีวิวที่สวยมากๆ โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีกลางเดือนตุลาคม
Credit:Chill Chill Trip
แล้ววิวในยามเช้าของเราก็จะสดชื่นแบบนี้แหล่ะ ตอนนี้คือเวลา 4:30 น. ซึ่งก็จะสว่างแล้ว และมีสายหมอกไหลผ่านช้าๆ
Credit:Chill Chill Trip
ภูเขาอิสไซเคียว (Mt.Issaikyo)
เช้านี้เราออกเดินทางกันอย่างรวดเร็ว เพราะต้องมาปีนเขา ภูเขาอิสไซเคียว (Mt.Issaikyo) ชื่อดังของจ.ฟุกุชิมะ ตั้งอยู่ในโซนเดียวกับ Jododaira
Credit:Chill Chill Trip
หลังจากจอดรถที่ใกล้กับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว Jododaira ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติในพื้นที่ และยังมีที่พักและหอดูดาวแล้วเราไปยังเส้นทางเดินเขาด้านหลังทันที เริ่มทริปเวลา 6:00 น.
Credit:Chill Chill Trip
จากที่จอดรถ Jododaira เราจะเดินไปตามทางเดินที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ Jododaira และเดินขึ้นทางลาดชันเพื่อไปยังกระท่อมบนภูเขาสุงาไดระ โดยใช้ทางแยกนี้ไปต่อยังภูเขาอิสไซเคียว (Mt.Issaikyo)
Credit:Chill Chill Trip
หลังจากเดินขึ้นเนินสูงชันไปยังผ่านไปยัง Hut หรือ กระท่อมบนภูเขาสุงาไดระแล้ว ให้ใช้เส้นทางที่นำไปสู่ภูเขาอิไซเคียว เพื่อนๆที่เดินป่าต้องจำไว้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินให้มารวมตัวกันที่นี่ ด้านในมีหมวกนิรภัย และห้องน้ำ
Credit:Chill Chill Trip
จากนั้นเราเดินทางต่อไปยังด้านบน จุดนี้แหล่ะที่ค่อนข้างเหนื่อยหน่อยเพราะเป็นหินขนาดใหญ่ และควรใช้รองเท้าเดินเขาแบบหุ้มข้อเพื่อป้องกันข้อเท้าพลิก
Credit:Chill Chill Trip
ภูเขาอิไซเคียว (Mount Issaikyo) เป็นยอดเขาสูง 1,949 เมตร จากระดับน้ำทะเล ด้านบนนี้ เราจะมองเห็นทิวทัศน์อันตระการตาของเทือกเขาอะซุมะ(Mt. Azuma-Kofuji)
Credit:Chill Chill Trip
มีปล่องภูเขาไฟที่โดดเด่นที่ใจกลางซึ่งก่อตัวขึ้นหลังจากการระเบิดของภูเขาไฟ ยอดเขาอะซุมะ-โคฟุจิสูงประมาณ 1,700 เมตร
“โคฟุจิ” แปลว่า “ฟูจิน้อย” โดยปล่องภูเขาไฟรูปกรวยขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางปากปล่องประมาณ 500 เมตร ลึกประมาณ 70 เมตร
Credit:Chill Chill Trip
จากนั้นเราเดินกันต่อเพื่อไปยังจุดหมายที่เราตั้งใจมาในวันนี้ ด้านบนมีฝูงแมลงปอเยอะมากๆเลย อากาศด้านบนบอกเลยว่า ร้อนแสบผิวสุดๆ ทาครีมกันแดดมาดีๆด้วยนะ
Credit:Chill Chill Trip
ภูเขาอิไซเคียวเป็นภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่ซึ่งมีความสูง 1,948.8 เมตร และมีบ่อน้ำที่สวยงามตรงแอ่งตรงกลาง
Credit:Chill Chill Trip
เราเรียกว่า ตาของแม่มด เส้นทางทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง(ไปกลับทางเดิม)
Credit:Chill Chill Trip
การเดินป่าที่ภูเขา Issaikyo (一切経山ハイキング) เป็นหนึ่งในการเดินป่ายอดนิยมของผู้คนในจังหวัดฟุกุชิมะ ถือเป็นการเดินป่าที่สบายๆสำหรับผู้เริ่มต้น แบบไม่เร่งรีบ
Credit:Chill Chill Trip
แต่ขากลับ เราไม่ได้เลือกรูทเดิมจ้า เราไปทางเส้นทางอื่น ไปต่อที่ภูเขา Mt. legata ที่มีความสูง 1877
ก่อนจะเดินเลยเถิดไปที่ Mt.Nise Eboshi ที่มีความสูง 1836
Credit:Chill Chill Trip
แล้วไปต่อที่ Mt. Shogen ที่มีความสูง 1892.6 และจบทริปเก๋ๆ ที่เขา Mt. Hourai ที่มีความสูง 1802 เมตร แว้กกก
Credit:Chill Chill Trip
เราใช้เวลาราวครึ่งวัน กว่าจะเดินทางมายังจุดจอดรถ เอาน้ำไปกิน 1 ขวด 500 มล. ก็ดื่มเกลี้ยงเลยโดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน หิวน้ำไวมากๆ ขอนั่งพักแป๊บนะ
Credit:Chill Chill Trip
Nowhere campsite
สำหรับคืนนี้เราลงมากางเต็นท์ใหญ่นอนด้านล่างจุดตั้งแคมป์ Nowhere กันนะ ลานโล่งๆกับบรรยากาศที่ดีมากๆ
Credit:Chill Chill Trip
ภายในเต็นท์มีตะเกียง โต๊ะ ที่นอน ผ้าห่ม และทุกอย่างที่จำเป็น สามารถเตรียมมาเองหรือติดต่อล่วงหน้าขอเช่าจากที่นี่ก็ได้
Credit:Chill Chill Trip
มื้อค่ำคืนนี้ของเรา ขอเสนอแกงเขียวหวานจ้า โดยเราแวะซื้อเนื้อ ผักที่ซูเปอร์มาร์เก็ต และมีเครื่องแกงสำเร็จรูปไปด้วย
Credit:Chill Chill Trip
บรรยากาศขณะที่เตรียมอาหารคือดีมาก ตะเกียงน้ำมันช่วยลดจำนวนแมลงไม่ให้เข้าใกล้เต็นท์ของเราได้
Credit:Chill Chill Trip
เก้าอี้ โต๊ะอาหาร พร้อมแล้วสำหรับมื้อค่ำสุดพิเศษ การได้กินข้าวกับคนที่รู้ใจนี่ดีจริงๆ
Credit:Chill Chill Trip
กินข้าวแล้วก็นั่งคุยกันสบายๆ บรรยากาศแบบนี้แหล่ะ ที่ช่วยให้การพักผ่อนของเรามันคือที่สุดจริงๆ
Credit:Chill Chill Trip
ภูเขาอะดาตาระ (Mt. Adatara)
เช้านี้ตีห้า ออกจากเต็นท์แล้ว เราก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อ หลังจากที่เมื่อวานเราปีนเขาที่มีความสูงกว่า 1900 เมตร
Credit:Chill Chill Trip
วันนี้เรามุ่งไปที่ความสูง 1700 เมตร ฮ่าๆๆ โดยใช้รูททางขึ้นลงของ Numajiri Entrance ขอบอกว่ามันส์มากๆ จุดทางขึ้นเขาห่างจากที่พักเรา ราว 15 นาทีเท่านั้นเอง
Credit:Chill Chill Trip
จากต้นทาง ใช้เวลาราว 1.30 ชม. เราก็เริ่มมองเห็นปากปล่องภูเขาอะดาตาระเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้คือใช้เวลาไม่มากนักถ้าไม่หยุดถ่ายรูปจนเพลินเหมือนเรา
Credit:Chill Chill Trip
สำหรับเราแล้ว เราชอบภูเขานี้มากๆเลย ภูเขาอะดาตาระถือเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่เป็นการก่อตัวของหินที่สวยงามมากๆ
Credit:Chill Chill Trip
วันไหนที่อากาศดีๆนะ โอ้โห วิวสวยปังมากๆเลย อดใจไม่ไหว คว้ากล้องออกมาถ่ายรูปกันสนุกสนาน (ระวังการเดินตลอดเวลา เพราะมีโอกาสลื่นลงไปข้างล่าง)
Credit:Chill Chill Trip
เหนื่อยนักเราก็พักก่อนละกัน ฮา มุมนี้คือมุมมหาชนที่เว็บไซต์ต่างๆนิยมนำภาพนี้ไปโปรโมทกัน
Credit:Chill Chill Trip
ภูเขาอะดาตาระ เป็นหนึ่งในร้อยภูเขาที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักปีนเขาตลอดสี่ฤดูกาล
Credit:Chill Chill Trip
เอ็กซ์ตรีม ออนเซ็น (Extreme Onsen)
จากนั้นเราก็เริ่มเดินทางกลับลงมาด้านล่าง ครั้งนี้เราจะลงมายังฝั่งนน้ำพุร้อนเอ็กซ์ตรีมออนเซ็น (Extreme Onsen) ซึ่งเป็นลำธารน้ำตกไหลลงมารวมกับน้ำพุร้อนธรรมชาติ จุดนี้จำเป็นต้องพกเครื่องวัดค่าก๊าซกำมะถันมาด้วย เพราะอันตรายมากๆ ข้อห้ามคือ ห้ามเข้าใกล้จุดที่เป็นต้นกำเนิดน้ำพุร้อน และรางไม้ Credit:Chill Chill Trip
การจะเดินไปด้านล่างนี้ ค่อนข้างใช้สมาธิสูงมากๆ เนื่องจากเป็นหิมคม ลื่น และบางช่วงก็สามารถลื่นตกลงเขาได้เลย ช่วงปลายกรกฏาคมมีดอกไฮเดรนเยียสีขาวบานสะพรั่ง
Credit:Chill Chill Trip
การค้นพบแหล่งกำเนิดน้ำพุร้อนของหมู่บ้านออนเซ็นที่นี่กล่าวกันว่าเกิดขึ้นในปีค.ศ 1751 (ช่วงกลางยุคเอโดะ) มีการค้นพบน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิสูงที่กลางหุบเขากำมะถัน ตั้งแต่นั้นมา บ่อน้ำพุร้อนนี้ก็ถูกนำมาใช้สำหรับเกษตรกรในท้องถิ่นในช่วงนอกฤดูกาลเพาะปลูก
Credit:Chill Chill Trip
แต่ตอนนี้ ทนไม่ไหวแล้วขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปแช่ก่อนนะ ขอบอกว่า การได้แช่น้ำอุ่นที่เป็นธรรมชาตินี้ ฟินสุดๆเลย ระหว่างนั้นคอยเช็คค่ากำมะถันไปด้วย
Credit:Chill Chill Trip
ชุดว่ายน้ำที่กับการถ่ายกับทะเลที่ว่าว้าวๆ พอมาถ่ายกับบ่อออนเซ็นธรรมชาติที่มีภูเขาโอบล้อมบอกได้คำเดียวเลยว่า เก๋สุดๆ
Credit:Chill Chill Trip
เรียบร้อยแล้วก็กลับกัน เมื่อกลับที่พักแคมป์โนแวร์ ของเราแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมสนุกๆ อีก เช่น ปั่นจักรยานไฟฟ้า ติดต่อเช่าได้เลยจ้า มันส์สุดๆ
Credit:Chill Chill Trip
วัดเอนิจิ (Enichi-ji Temple)
เช้านี้เราไปวัดกันแต่เช้าเลย วัดเอนิจิ (Enichi-ji Temple) สร้างขึ้นเมื่อต้นยุคเฮอัน วัด Enichi-ji เป็นที่รู้จักในฐานะวัดที่เก่าแก่ที่สุดใน Tohoku โดยยังคงแสดงหินฐานเดิมอยู่
Credit:Chill Chill Trip
นอกจากนี้ยังมีงานประดับไฟที่จัดขึ้นปีละหลายครั้งซึ่งสวยมากๆ เพื่อนๆต้องติดตามข่าวของวัดบ่อยๆเพื่อจะได้มีโอกาสมาตรงกับการประดับไฟสักครั้ง
Credit:Chill Chill Trip
วัดเอนโซจิ (Enzo-ji Temple)
วัดพุทธในเมืองเล็กๆ ของยานาอิซุ จ.ฟุกุชิมะ นั่งรถไฟประมาณหนึ่งชั่วโมงจากไอสึวาคามัตสึ วัดนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,200 ปี และถือเป็นหนึ่งในสามวัดหลักในญี่ปุ่นที่อุทิศแด่โคคุโซะ โบซัตสึ พระโพธิสัตว์ซึ่งว่ากันว่าสติปัญญายิ่งใหญ่เทียบเท่าจักรวาล
Credit:Chill Chill Trip
ห้องโถงใหญ่ของวัดบนเนินเขาสร้างในรูปแบบเดียวกับของ Kiyomizudera ในเกียวโตพร้อมระเบียงขนาดใหญ่ แม้ว่าระเบียงของ Enzoji จะเคยเป็นไม้ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยระเบียงคอนกรีตในยุคหลังสงคราม ส่วนที่เหลือของห้องโถงเป็นไม้และมีอายุตั้งแต่สมัยเอโดะ
Credit:Chill Chill Trip
วิธีดั้งเดิมในการเข้าสู่วัด คือเริ่มต้นที่ด้านล่างของเนินเขา และผู้มาเยือนต้องเดินขึ้นบันไดประมาณหนึ่งร้อยขั้นไปยังห้องโถงใหญ่ วัดเอนโซจิยังเป็นบ้านเกิดของอาคาเบโกะ วัวแดงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงซึ่งขายเป็นของเล่นกระดาษมาเช่จำนวนมากในภูมิภาคไอสึ
Credit:Chill Chill Trip
สวนคิโยฮิเมะ (Kiyohime Park)
“สวนคิโยฮิเมะ” ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นเต็มไปด้วยทิวทัศน์แบบพาโนรามาของวัดและจุดชมวิวของสะพานยานาอิซุสีแดงเหนือแม่น้ำทาดามิ
Credit:Chill Chill Trip
ที่สวน lucky ฝั่งตรงข้ามใกล้ๆกัน เรายังเห็นจุดพักรถและสนามหญ้าที่มีธีมพาร์คเป็นโปเกม่อน เจ้าตัวสีชมพู ที่มีกระจายทั่วฟุกุชิมะ น่ารักสุดๆ
Credit:Chill Chill Trip
จุดชมวิวสะพานข้ามแม่น้ำทาดามิหมายเลข 1 (第一只見川橋梁ビューポイント) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก หรือที่เรียกว่าสะพานข้ามแม่น้ำไดอิจิทาดามิ มีรถไฟวิ่งผ่านตามรอบเวลา การถ่ายรูปให้ติดรถไฟ เราแจ้งเวลานะคะ อาจมีเปลี่ยนแปลงภายหลังได้สถานี AIZU HINOHARA (会津桧原駅) ถึง สถานี AIZU NISHIKATA (会津西方駅)
(ผ่านจากขวาไปซ้าย)
07:23 น / 09:01 น / 14:23 น./ 18:15 น. / 20.59 น./ 22.57 น.
(ผ่านจากซ้ายไปขวา)
6.05 น./ 07:41 น / 09:20 น / 13.01 น./ 16.06 น. / 19.42 น.
Credit:Chill Chill Trip
เดินทาง จากสถานีไอสึวาคามัตสึให้โดยสารรถไฟเจอาร์สายทาดามิมาลงที่สถานีไอสึมิยาชิตะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที แล้วโดยสารรถบัสไปลงที่ป้ายจุดพักรถโอเซไคโด มิชิมะจูคุ (Ozekaido Mishima Juku Roadside Station) บัสใช้เวลาประมาณ 5 นาที แล้วจากจุดพักรถเดินเท้าต่ออีกประมาณ 3 นาทีไปบนยอดเขา
Credit:Chill Chill Trip
ลานกลางเต็นท์นุมาซาวะโคฮัง (Numazawakohan Camping Ground)
สำหรับค่ำคืนในวันสุดท้ายของทริป เรามาพักที่ทะเลสาบนุมาซาวะ เมืองคาเนยามะ จ.ฟุกุชิมะ ตรงนี้มีลานกางเต็นท์วิวสวยชื่อ ลานกลางเต็นท์นุมาซาวะโคฮัง (Numazawakohan Camping Ground) เราสามารถกางเต็นท์ได้รอบๆริมทะเลสาบ ขึ้นอยู่กับประเภทที่เลือก
Credit:Chill Chill Trip
ความสะดวกสบายของที่นี่คือ ห้องน้ำบริการ 24 ชั่วโมง เช็คอินก่อน 17.00 น.โดยมีจุดลงทะเบียนตรงบ้านริมถนนก่อน จากนั้นชำระเงิน รับเอกสารการจ่ายเงิน เดินมาเลือกทำเลที่จะกางเลย โซนนี้เราเรียกว่า free site “general campsite” ข้อดีของโซนนี้ คือไม่ต้องจองที่ล่วงหน้า
Credit:Chill Chill Trip
ที่นี่มีห้องอาบน้ำแบบฝักบัวแต่ไม่มีน้ำอุ่น บางคนขับรถไปแช่ออนเซ็นใกล้ๆ อย่าง ออนเซ็น Seseragi-so แล้วค่อยกลับมาพัก สำหรับที่นี่คือเราต้องเตรียมทุกอย่างมาเองทั้งอาหาร อุปกรณ์การปรุงและทำ น้ำดื่ม สเปรย์กันแมลง ไฟฉายและของจำเป็น อย่าลืมว่า ที่นี่ไกลจากร้านค้าและร้านสะดวกซื้อมากๆ
Credit:Chill Chill Trip
สำหรับมื้อค่ำของค่ำคืนสุดท้ายนี้ เรามานั่งฟังเพลง ปล่อยอารมณ์ผ่อนคลายสบายๆ กัน อย่าลืมจุดยากันยุงและแมลงไว้ด้วยนะ
Credit:Chill Chill Trip
เมนูของเราก็สบายๆ ได้แก่ ปลากระป๋องราดข้าวจ้า โดยเราต้องมีอุปกรณ์อุ่นข้าวด้วยนะ จะทำให้การกินของเราฟินมากขึ้น ถ้ามีหอมซอย พริกซอย บีบมะนาวด้วยยิ่งฟิน
Credit:Chill Chill Trip
จุดชมวิวรถไฟสายทาดามิ Second Tadami River Bridge
จุดนี้เหมาะสำหรับการมาชมตอนเช้าที่แสงอาทิตย์กำลังส่องสว่างและถ้าเราโชคดีอาจจะเจอหมอกบนผิวน้ำแบบนี้ รถไฟรอบแรกจะผ่านในช่วงเวลา 6.00 น. – 6.05 น.
Credit:Chill Chill Trip
ใกล้ๆกันก็เป็นสะพานข้ามแม่น้ำทาดามิสีแดง สวยสดใสมากๆเลย นี่คือรางวัลสำหรับคนตื่นเช้าจริงๆ
Credit:Chill Chill Trip
จุดชมวิวรถไฟสายทาดามิ Kaneyama Fureai Hiroba
ตรงนี้เป็นจุดถ่ายรูปวิวรถไฟค่อนข้างมีชื่อเสียงมากๆ จุดชมวิวนี้อยู่ห่างจากสถานีรถไฟ Aizu-Kawaguchi โดยใช้เวลาเดิน 10 นาที เป็นสถานที่ถ่ายภาพที่แม้แต่ผู้เริ่มต้น
สามารถถ่ายภาพทิวทัศน์ที่สวยงามนี้ได้ เราจะเห็นแม่น้ำทาดามิ ภูเขาสูง และและหมู่บ้านโอชิริมแม่น้ำ
Credit:Chill Chill Trip
หมู่บ้านโอชิในยามเช้าๆ หกโมงกว่าๆ กับความเงียบสงบที่คนส่วนใหญ่อยากได้สัมผัสชีวิตแบบนี้สักครั้ง
Credit:Chill Chill Trip
Mugenkyo boat
เรือท้องแบนในท้องถิ่นที่ใช้ในอดีต ราวกว่า 300 ปีก่อน การล่องเรือมูเง็นเคียวเริ่มต้นโดยคุณโฮชิ เคนโกะ (星 賢孝) ช่างภาพชาวเมืองมิชิมะ ผู้มีส่วนอย่างมากในการฟื้นฟูภูมิภาคโอคุไอสึ
Credit:Chill Chill Trip
ที่นี่มีบริการล่องเรือด้วยนะ แต่ต้องเหมาเป็นลำไป และการขึ้นเรือคือมีจุดนัดพบ เส้นทางและระยะเวลาที่อยากได้ แนะนำให้ล่องเรือแบบ full course เลยเพราะจะได้ล่องยาวไปถึงหมู่บ้านโอชิ โดยใช้เวลาราว 90 นาที ในราคาเริ่มต้น คนละ 4500 เยน ขึ้นอยู่กับจำนวนคน/ลำ
Credit:Chill Chill Trip
โรงกลั่นสุรา Niida Honke แห่งฟุกุชิมะ
โรงกลั่นสุรา Niida Honke มีประวัติยาวนานมากว่า 300 ปีแห่งการผลิตเหล้าสาเกอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยใช้เทคนิคกรรมวิธีแบบดั้งเดิม ตั้งอยู่ในเมืองโคริยามะ จังหวัดฟุกุชิมะ
Credit:Chill Chill Trip
ที่ทางเข้าโรงกลั่น Niida Honke จะมีถังสาเกขนาดใหญ่สามถัง แต่ละถังประดับด้วยตัวอักษรคันจิที่สะกดคำว่า “shizenshu” ซึ่งแปลว่า “สาเกธรรมชาติ” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของโรงกลั่น ชื่อแบรนด์นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของวิธีการทำเหล้าสาเกที่เป็นเอกลักษณ์ของ Niida Honke
Credit:Chill Chill Trip
ที่นี่ ยึดหลักการที่ว่า “สาเกดีต่อร่างกาย” และใช้ข้าวออร์แกนิก น้ำพุสด น้ำบาดาล และยีสต์ธรรมชาติจากโรงกลั่นของตัวเองเท่านั้น
Credit:Chill Chill Trip
โรงกลั่นนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1711 และยังคงอยู่ในสถานที่เดิมมากว่า 300 ปี โดยฝีมือของ Niida Yasuhiko หัวหน้ารุ่นที่ 18 ของบริษัทและผู้ผลิตโทจิระดับปรมาจารย์ Niida Honke ผลิตสาเกโดยใช้เฉพาะน้ำธรรมชาติที่สดใหม่จากน้ำพุบนภูเขาและตั้งอยู่ในพื้นที่ของโรงกลั่น ผู้เยี่ยมชมสามารถดื่มน้ำจืดที่ใช้สำหรับทำเหล้าสาเกหรือที่เรียกว่าชิโคมิมิสุได้จากถังหินที่เติมใหม่ตลอดเวลาหน้าโกดังสาเกของโรงกลั่น ที่นี่ยังมีสินค้าจำหน่ายด้วย
Credit:Chill Chill Trip
ศาลเจ้าทาคายาชิกิ Takayashiki Inari Shrine
สำหรับที่เที่ยวก่อนจบทริปนี้ เรามาไหว้ขอพรกันที่ ศาลเจ้าทาคายาชิกิ Takayashiki Inari Shrine ตั้งอยู่ในเมืองโคริยามะ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางจังหวัดฟุกุชิมะ เสาโทริอิสีแดงสดที่อยู่ตรงทางเข้าศาลเจ้าเป็น ”โทริอิเพื่อแก้บน” ที่ผู้มาสักการะอุทิศให้เพื่อเติมเต็มคำอธิษฐานและแสดงความขอบคุณต่อเทพเจ้า ปัจจุบันมีเสาโทริอิประมาณ 100 เสา แต่ก่อนสงครามมีเสาโทริอิประมาณ 4,000 ตลอดทางจนถึงสถานี Mogi มุมมองจากการปีนบันไดหินที่นำไปสู่ห้องโถงบูชานั้นงดงามมาก
Credit:Chill Chill Trip
ในยุคเมจิ ผู้คนจำนวนมากอธิษฐานขอให้มีความเจริญรุ่งเรืองในสงคราม ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2468 จึงมีการสร้างอาคารศาลเจ้าหลังใหม่เพื่อความสะดวกของผู้แสวงบุญ หลังจากนั้นก็มีการสร้างกำแพงหิน ขั้นบันไดหิน ได้มีการสร้างหอสักการะขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2477 และมีการปรับปรุงบริเวณเพิ่มเติม
Credit:Chill Chill Trip
เราเลือกที่จะถ่ายรูปกับเสาโทริอิสีแดงสวยนี้ก่อน บรรยากาศช่วงเย็นสวยงามมากๆ และคนไม่พลุกพล่าน
Credit:Chill Chill Trip
หากเพื่อนมาช่วงกลางปีก็จะได้เห็นวิวของเสาโทริอิสีแดงตัดกับทุ่งนาสีเขียว หากมากันยายน วิวจะเป็นทุ่งนาข้าวสีทองเลยล่ะ
Credit:Chill Chill Trip
ด้านล่างของศาลเจ้ามีแปลงนาที่เพิ่งเริ่มเพาะปลูก (ภาพเดือนกรกฏาคม) ผลผลิตเมล็ดข้าว ให้แก่ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นเพื่อเป็นสิริมงคล
Credit:Chill Chill Trip
ศาลเจ้าทาคายาชิกิ อินาริเพิ่งฉลองครบรอบ 310 ปี แห่งการประดิษฐาน เขาบอกว่า บริเวณด้านบนศาลเจ้านั้นมีจุดพลังที่เรียกว่า “โกจินเซกิ” ที่เราสามารถสัมผัสและรับพลังทางจิตวิญญาณได้โดยตรง
Credit:Chill Chill Trip
แต่ๆสำหรับเรา ความสนุกอยู่ที่น้อง ไก่ซิลกี้ ที่เป็นไก่สวยงาม ที่มีขนฟู ตัวกลม หางเป็นพุ่ม ดูน่ารักต่างจากไก่ทั่วไป สามารถให้อาหารได้
Credit:Chill Chill Trip
น้องไก่ซิลกี้ มีหลากหลายขนาด เดินเล่นอย่างอิสระและไม่กลัวคนเลย ใครถืออาหารอยู่ก็จะเดินมาหาอย่างไว
Credit:Chill Chill Trip
เจ้าหน้าที่แนะนำว่า เวลาให้อาหารต้องวางข้าวสารบนฝ่ามือครั้งละ 1 เม็ด น้องจะได้จิกกินง่ายๆ กว่าจะหมดถุง ฮา ได้นั่งเล่นกันจนเกือบค่ำ แต่สนุกมากๆสำหรับทริปจบในวันสุดท้ายนี้
Credit:Chill Chill Trip
รูทเที่ยว5 วัน 4 คืน