เที่ยวโทโฮคุ 2 วัน 1คืน Ep.2 เที่ยว 3 จังหวัด (Aomori ,Miyagi ,Fukushima) เที่ยวง่ายมือใหม่ก็ไปได้
เสริมสิริมงคลไหว้พระชื่อดัง ชมศิลปะงานเทศกาลเนบูตะของอาโอโมริ สัมผัสความน่ารักของเจ้าสุนัขจิ้งจอกขนฟู เดินป่าทัวร์น้ำพุร้อนExtreme Onsenสุดมันส์ ชมบึงน้ำห้าสีชื่อดัง Goshikinuma
1 Day Ep.2
- วัดเซเรียวจิ Seiryu-ji (อาโอโมริ)
- พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (Nebuta Museum WARASSE)(อาโอโมริ)
- หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก (มิยางิ)
2 Day Ep.2
- Extreme Onsen Tour(ฟุกุชิมะ)
- บึงน้ำห้าสี Goshikinuma (ฟุกุชิมะ)
- นั่งไนท์บัสลงที่สถานีโตเกียว (Tokyo station)
เที่ยวโทโฮคุ 2 วัน 1คืน Ep.2
วันที่ 3 เช้านี้เราตื่นนอนกันตั้งแต่ตีห้า เพื่อออกมาชมแสงเช้าเช่นเคย ทริปของชิลชิลแต่ไม่เคยมีชิลชิลเลยนะ ฮ่าๆ ออกจากที่พักตีห้าครึ่งเพื่อมาสะพานอาโอโมริเบย์ ซึ่งมีความสูง 1219 เมตร ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ถือเป็นสะพานที่มีความยาวเป็นอันดับสองในจังหวัดอาโอโมริรองจากสะพาน Hachinohe Ōhashi
Credit:Chill Chill Trip
ใกล้ๆกันกับจุดชมวิวสะพาน บริเวณนี้คือท่าเรืออาโอโมริซึ่งจะเป็นลานกว้าง เดินทางมาได้สะดวกมากๆ บรรยากาศยามเช้าจะมีผู้คนมาเดินออกกำลังกายบ้าง ปั่นจักรยานบ้าง
Credit:Chill Chill Trip
ปัจจุบันเรือลำนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นเรือแห่งความทรงจำที่จอดเทียบท่าอย่างถาวรที่เมืองอาโอโมริ ด้านในเปิดให้เข้าชมได้ เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์แสดงเล่าเรื่องราวการเดินเรือข้ามไปฮอกไกโดสมัยก่อน
Credit:Chill Chill Trip
พอได้เวลาก็เดินกลับมายังที่พัก เพื่อมาเก็บสัมภาระเดินทางต่อ ในช่วงกลางคืนว่าเมืองสวยแล้ว ช่วงเช้ายิ่งเห็นความงดงามได้เต็มตา สวยมากๆๆๆ
Credit:Chill Chill Trip
แล้วเราก็เช็คเอาท์ เดินทางต่อไปยังจุดหมายใหม่ของเรา เนื่องจากเราเดินทางด้วยเป้ 1 ใบกัน จึงคล่องตัวมากๆ ที่นี่เราจะรอรถบัสเพื่อไปยัง วัด Seiryuji หรือวัดมังกรเขียว ที่มีพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่นั่งอยู่ตรงเชิงเขา ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น ซึ่งเราสามารถเดินจากโรงแรมมาที่ป้าย Shinmachi itchome (新町一丁目) ได้เลย
Credit:Chill Chill Trip
ระบบการขึ้นรถบัสที่นี่ก็ง่ายมากๆ รถบัสมักจะมาตรงเวลา เรารอรถบัส สาย J20 ลงที่ Showa Daibutsu ราคาตั๋วคนละ 560 เยน เราจ่ายเงินค่ารถก็ใช้บัตร Suica ก็ได้นะ รถบัสจะเป็นสีนี้
Credit:Chill Chill Trip
เมื่อขึ้นรถบัสมา ทันที่ที่ก้าวขึ้น ให้มองหาช่องสำหรับดึงตั๋วเล็กๆแบบนี้ แล้วดึงออกมาเท่าจำนวนผู้เดินทาง
Credit:Chill Chill Trip
รถบัสของต่างจังหวัดค่อนข้างนั่งสบาย เพราะว่าขับช้าๆด้วย เราใช้เวลาเดินทางไม่กี่นาทีก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ตอนลง หย่อนเงินพอดีพร้อมตั๋วลงที่กล่องข้างคนขับ สำหรับตารางรถบัสมีดังนี้(วันธรรมดา) จากสถานีเจอาร์ Aomori ถึงป้าย Showa Daibutsu 07:58 – 09:10 น, 09:56 – 10:20 น, 11:44 – 12:20 น, 13:00 – 14:00 น, 15:13 – 15:15 เวลาอาจจะปรับเปลี่ยนเล็กน้อยตามวันธรรมดาและวันหยุด
Credit:Chill Chill Trip
วัด Seiryu-ji
วัด Seiryu-ji ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทที่เงียบสงบของจังหวัดอาโอโมริ พระ “ Showa Daibutsu” สร้างขึ้นในปี 1984 เป็นพระพุทธรูปทำด้วยทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ มีความสูง 21.35 เมตร และกว้าง 15 เมตร ค่าเข้าผู้ใหญ่คนละ 400 เยน
Credit:Chill Chill Trip
โอะมิกุจิ หรือสลากศักดิ์สิทธิ์ มีธรรมเนียมว่าหากโอะมิกุจิที่จับได้ทำนายว่าโชคไม่ดี คนที่จับได้ต้องนำไปผูกไว้ที่ต้นสนในวัดเพื่อที่คำทำนายนั้นจะไม่ไปเกาะติดตามตัวเราไป แต่จะถูกตรึงไว้ที่ตรงต้นสนนั้นแทน
Credit:Chill Chill Trip
ที่นี่ เราสามารถสัมผัสกับกิจกรรมต่างๆของการศึกษาทางพระพุทธศาสนา เช่น การเที่ยวชมรูปปั้น การลอกพระสูตรและการทำสมาธิแบบเซนในเช้าวันอาทิตย์ อาคารไคซันโด-Kaizandō ด้านหน้ามีรูปปั้นของ Oda Ryuko เป็นพระที่ก่อตั้งวัดนี้ เขาช่วยชีวิตผู้คนมากมายที่ทุกข์ทรมานจากโรคร้ายเช่นโรคมะเร็งและเขียนหนังสือหลายสิบเล่มอุทิศตนเพื่อการเติบโตของพระพุทธศาสนา
Credit:Chill Chill Trip
เจดีย์ห้าชั้นของวัดเซยูจิ (Seiryuji) มีความสูง 39.35 เมตร ซึ่งเป็นเจดีย์ห้าชั้นที่ทำจากไม้ ที่มีความสูงเป็นอันดับสี่ในญี่ปุ่นรองจากวัด Toji ในเกียวโต วัด Kofukuji ใน Nara และวัด Zentsuji ใน Kagawa ตัวโครงสร้างไม้ที่ทำให้ตัวเจดีย์ทนต่อแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ เกิดจากกุญแจสำคัญอย่าง ชินบาชิระ ซึ่งเป็นเสาหลักที่ตั้งอยู่ตรงกลางเจดีย์นั่นเอง
Credit:Chill Chill Trip
บรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยสีสันมากมายในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หากจะมาชมความงามแนะนำให้มาต้นเดือนพฤศจิกายน
Credit:Chill Chill Trip
น้ำตก Seiryu และบ่อน้ำ มีความเชื่อว่า น้ำเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและน้ำตกที่ไหลทำให้คุณรู้สึกได้ถึงพลังแห่งชีวิต เสียงน้ำกระทบผิวน้ำทำให้เกิดความรู้สึกเย็นและอากาศที่ปลอดโปร่งจากน้ำตกทำให้จิตใจสงบ
Credit:Chill Chill Trip
จุดสุดท้ายที่เราตั้งใจจะมาคือการมาสักการะ พระโชวาไดบุทสึ – Shōwadaibutsu สร้างขึ้นในปี 1984 เป็นรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ที่โด่งดังมากในภูมิภาคโทโฮคุ ได้มาเห็นกับตาตัวเองแล้ว ประทับใจมากจริงๆ
Credit:Chill Chill Trip
องค์พระจะสวมมงกุฎบนศีรษะ มีน้ำเต้าที่หน้าอกและเครื่องประดับ เช่น ที่นิ้วหัวแม่มือ แขน และอยู่ในท่านั่งสมาธิ เป็นพระพุทธรูปที่สง่างามมาก
Credit:Chill Chill Trip
พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (Nebuta Museum WARASSE)
จากนั้นเราก็นั่งรถกลับไปที่สถานีอาโอโมริตามเดิม โดยขึ้นรถบัสที่จุดเดิม สำหรับทริปสุดท้ายของอาโอโมริ เราจะมาเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ (Nebuta Museum WARASSE) ชมไฟเทศกาลฤดูร้อน มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น
Credit:Chill Chill Trip
พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ หรือ Nebuta Museum WARASSE เป็นสถานที่แนะนำทางด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันแสดงถึงเสน่ห์ของเทศกาลอาโอโมริเนบูตะ ที่พิพิธภัณฑ์นี้เราจะได้สัมผัสกับทุกแง่มุมของเทศกาลสำคัญของเมืองที่เป็นงานเทศกาลจัดในเดือนสิงหาคมของทุกปี
Credit:Chill Chill Trip
ประวัติเทศกาล คือเทศกาลอาโอโมริเนบูตะมีต้นกำเนิดมาจากเทศกาลทานาบาตะ แต่ไม่ทราบรากเหง้าที่แท้จริง เชื่อกันว่าเทศกาลทานาบาตะมาจากประเทศจีนและวัฒนธรรมประเพณีของภูมิภาคสึการุ(พื้นที่ของอาโอโมริ)ผสมผสานกัน
Credit:Chill Chill Trip
จากนั้น ผู้คนเริ่มทำโคมไฟด้วยกระดาษไม้ไผ่และเทียนซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและขนาดจนมาเป็นเนบูตะในรูปทรงปัจจุบัน ซึ่งสวยงามและยิ่งใหญ่มาก
Credit:Chill Chill Trip
ขั้นตอนการทำคือเค้าจะใช้กระดาษญี่ปุ่นวาชิแปะใส่โครงลวดโดยด้านในมีหลอดไฟ เมื่อแปะกระดาษปิดหมดแล้วจึงระบายสีเป็นลวดลายที่ออกแบบไว้ ดังนั้นสีสันต่างๆที่เห็นจึงมาจากสุดยอดช่างฝีมือในงานศิลปะทั้งนั้น เทศกาลนี้ยังถือว่าเป็นเทศกาลไฟด้วย (หนึ่งในประเภทของงานเทศกาลที่มีชื่อเสียงมากของญี่ปุ่น) ปกติจัดงานระหว่างวันที่ 2 ถึง 7 สิงหาคมในตัวเมืองอาโอโมริ เราจะเห็นการร้องเล่นเต้นระบำอันสนุกสนานของนักเต้นและผู้มาร่วมงาน
Credit:Chill Chill Trip
แล้วก็เดินทางต่อจ้า จะเห็นว่าทริปเราไม่มีการทานข้าวเลยนะ ฮ่าๆ เพราะว่าเราอาศัยทานกันแบบง่ายๆตามร้านสะดวกซื้อ เพื่อรักษาเวลาเดินทางให้ได้มากที่สุด เราเดินทางกลับไปยังสถานีชินอาโอโมริเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายสุดท้ายของเราในทริปนี้
Credit:Chill Chill Trip
ที่สถานีชินอาโอโมริ ซึ่งเป็นสถานีใหญ่และแน่นอนว่าต้องมีของกินอร่อยๆเพียบ ใครเห็นพายแอปเปิ้ลที่นี่ห้ามพลาดซื้อมาทานเลยนะ อร่อยมากจริงๆ
Credit:Chill Chill Trip
Zao Fox Village
เรานั่งรถไฟชินคันเซ็นมาลงที่สถานี Shiroishi Zao จังหวัดมิยางิ ที่นี่เราจะมาเล่นกับน้องสุนัขจิ้งจอกที่แสนจะน่ารัก ที่มีขนฟูๆในฤดูหนาวกันนะ แตะบัตรออกเลย นั่งรถบัสจากสถานี Shiroishi (ชิโรอิชิ) ไปยังหมู่บ้านจิ้งจอก ใช้เวลานั่งรถประมาณ 50 นาที ค่ารถคนละ 200 เยน โดยจะมีรถบัสให้บริการเฉพาะวันอังคารและศุกร์ ในเวลา 7.58 น. และ 13.35 น. เท่านั้น เพื่อความสะดวกแนะนำนั่งแท็กซี่ไปเลยจ้า ค่าแท็กซี่ราว 4 พันกว่าเยน ใช้เวลาประมาณ 25 นาที ใครมีสัมภาระเยอะถ้าขนไปได้ขนเลยจ้า เพราะที่นั่นมีรับฝากกระเป๋าด้วย
Credit:Chill Chill Trip
ราคาตั๋วคนละ 1000 เยน ระหว่างที่ซื้อเจ้าหน้าที่จะอธิบายขั้นตอนการเดินชม และข้อควรระวัง เช่น ห้ามจับตัวน้องจิ้งจอก ถ้าน้องเข้ามาเดินใกล้ ๆ ให้ยกมือขึ้นสูง ๆ หรือถ้าเจอน้องเข้ามากวนก็สามารถเรียกเจ้าหน้าที่ได้ตลอดเวลา
Credit:Chill Chill Trip
Zao Fox Village อารมณ์เดินป่าที่เป็นสวนสัตว์ธีมสุนัขจิ้งจอกที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีสุนัขจิ้งจอกมากกว่า 200 ตัวอาศัยอยู่ในสวนที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติและเราสามารถชมสุนัขจิ้งจอกได้โดยไม่มีรั้วกั้นเลย
Credit:Chill Chill Trip
ลักษณะทั่วไปของหมาจิ้งจอกจะมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่าสุนัขบ้านทั่วไป และคล้ายกับสุนัขไทยพื้นเมือง จมูกแหลมยาว หูใหญ่ชี้ตั้ง ฟันกรามแข็งแรงและแหลมคม หางยาวเป็นพวง ขนสีน้ำตาลแกมเหลือง แต่ที่ซาโอะมีหลายสีเลย เราหลงรักเจ้าตัวสีขาวอมส้มนิด ๆ ชอบการที่แอบมองเราด้วยหางตาเป็นระยะ
Credit:Chill Chill Trip
ยืนชมอิริยาบทอย่างเป็นธรรมชาติของน้องจิ้งจอก ได้อย่างใกล้ชิด เห็นทั้งการเดิน การกิน การนอน แม้กระทั่งการขับถ่าย ฮ่าๆ มีอยู่ตัวหนึ่งเดินมาหาเราแล้ว ก็นั่งข้าง ๆ สรุปเดินมาอึจ้า อึเสร็จก็จากไป ปล่อยเราไว้กับอารมณ์งง ๆ ฮ่าๆๆ
Credit:Chill Chill Trip
โดยรวมน้องจิ้งจอกของที่นี่ เป็นจิ้งจอกแบบ well behaved หรือก็คือ มีความประพฤติดีเยี่ยม ถ้าเรียนวิชามารยาทก็คงนั่งแถวหน้าห้อง ถูกครูชมที่หน้าเสาธงทุกวัน ความมีวินัยก็เป็นเลิศ ยกเว้นเวลาขับถ่าย ช่างใช้ชีวิตอิสระซะเหลือเกิน นอนมุมใครมุมมัน
Credit:Chill Chill Trip
อากาศในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนในวันที่เราไป อุณหภูมิในช่วงกลางวันประมาณ 10 องศา แถมฝนตกอีก น้องจิ้งจอกเลยนอนหลับกลางวัน เห็นอุ้งเท้าแล้ว น่าร้าก..
Credit:Chill Chill Trip
จริงๆโดยธรรมชาติ สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ที่ชอบออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนเวลากลางวันมักจะนอนในโพรงดิน แต่ที่ซาโอะ น้องจิ้งจอกมีมุมที่นอนของใครของมัน
Credit:Chill Chill Trip
หากคิดว่าที่นี่สามารถดูน้องจิ้งจอกได้อย่างใกล้ชิดแล้ว ลองมายืนจุดนี้อย่างเราสิคะ รู้ทั้งรู้ว่าน้องน่ารัก แต่ก็นะก่อนจะก้าวไปก็ต้องสูดลมหายใจลึกๆ กำเหรียญหลวงพ่อโกยในคอให้แน่นๆ เพราะว่าไม่ได้นอนอยู่แค่ตัวสองตัวแต่อยู่เป็นสิบๆ ตัวเลยจ้า ถ้าผ่านจุดนี้ไปได้ในชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรยากละ ฮ่าๆๆ
Credit:Chill Chill Trip
เสน่ห์ของสุนัขจิ้งจอกคือ แววตาที่ดูน่าเกรงขาม เมื่อนึกย้อนไปถึงตำนานสุนัขจิ้งจอกของญี่ปุ่น ก็ชวนขนลุกเลย เล่าขานกันว่า สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์พิศวงเพราะสามารถแปลงร่างเป็นหญิงสาว สัตว์ สิ่งของได้ นอกจากนั้น ยังเป็นสื่อกลางเชื่อมระหว่างมนุษย์และเทพอินาริ เทพเจ้าแห่งธัญญาหารและพืชพรรณการเกษตร สมัยโบราณชาวบ้านจะเข้ามาขอพรเทพเจ้าที่ศาลเจ้า เพื่อให้การเพาะปลูกในปีนั้นได้ผลดีขึ้น ดังนั้นเราจึงเห็นรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกมีอยู่ทุกๆศาลเจ้า
Credit:Chill Chill Trip
เอาล่ะ อย่าลืมเช็คตารางรถบัสกันนะจ้า เพราะที่นี่มีรถบัสกลับไปที่สถานี Shiroishi ตอน 14:20 หรือเวลา 14:32 (เวลาอาจไม่แน่นอนนัก ซึ่งขอย้ำอีกครั้งว่ารถบัสวิ่งแค่วันเสาร์กับวันอาทิตย์) หรือถ้าใครไม่สะดวกเรื่องเวลาพอได้เวลาจะกลับก็สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เรียกรถแท็กซี่เพื่อมาสถานีเดิมได้ การเรียกรถแท็กซี่อาจใช้เวลารอราว 20 นาที ดังนั้นควรเผื่อเวลาด้วยนะ สำหรับเรา หลงไหลความน่ารักของน้องจนไม่กล้าระบุเวลากลับเลย สรุปอยู่เล่นที่นี่ราวเกือบ 2 ชั่วโมง
Credit:Chill Chill Trip
หากมีเวลาเหลือสัก 15 นาทีก่อนที่รถไฟจะมา แนะนำว่าให้เดินเล่นในสถานี เข้าไปที่ Shiroishi Museum นะ ด้านในจะมีตุ๊กตาโคเคชิมากมายหลายแบบให้ชมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
Credit:Chill Chill Trip
ตุ๊กตาโคเคชิ เป็นตุ๊กตาไม้ที่มีประวัติยาวนานกว่า 150 ปี ลักษณะคือมีแต่หัวกับลำตัว ไม่มีแขนขา ต้นกำเนิดอยู่ภูมิภาคโทโฮคุ ส่วนใหญ่เราจะเห็นวางขายตามเมืองออนเซ็น ใครไปเที่ยวหมู่บ้านออนเซ็นน่าจะเคยเห็นมาบ้าง แต่ละท้องถิ่นก็จะทำตุ๊กตาที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปด้วยนะ
Credit:Chill Chill Trip
Extreme Onsen Tour(ฟุกุชิมะ)
จากนั้นเราก็เดินทางเข้าจ.ฟุกุชิมะ(Fukushima) เพื่อเดินทางเก็บทริปเที่ยวของเราต่อ แต่เนื่องจากทริปเช้าของวันถัดไปนั้นเป็นการทำกิจกรรมเดินป่า เราเลยมาปักหลักพักกันที่เมืองอินาวะชิโระ โดยลงชินคันเซ็นที่สถานีโคริยามะ(Koriyama)แล้วต่อรถไฟท้องถิ่น Banetsu West Line มาลงที่สถานีอินาวะชิโระ ระหว่างทางก็ชมวิวภูเขาบันได
Credit:Chill Chill Trip
จากนั้นเราก็ให้รถของที่พักมารับที่สถานีอินาวะชิโระ แล้วพักผ่อน นอนแช่ออนเซ็นกัน คืนนี้เรามาพักกันที่ลอดจ์กลางป่า ชื่อ Numajiri Kogen Lodge คืนนี้ขอนอนเอาแรงให้เต็มที่ละกันนะ ที่นอนนุ่มเหลือเกิน
Credit:Chill Chill Trip
ที่นี่เป็นลอดจ์เก่าแก่แต่มารีโนเวทใหม่ เดิมเป็นของนักไต่เขาชื่อดัง Junko Tabei ผู้หญิงคนแรกที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ นักเดินเขาส่วนใหญ่จะนิยมมาพัก ที่นี่จึงเหมือนเป็นจุดนัดพบ สังสรรค์ มีเลาจน์ที่ให้บริการเครื่องดื่มฟรีตลอดคืน ว้าวๆๆ
Credit:Chill Chill Trip
เราชอบอาหารและความมีสีสันรวมถึงการคัดเลือกวัตถุดิบท้องถิ่นมาปรุงแบบออร์แกนิกทั้งหมด คนรักสุขภาพอย่างเรา ถูกใจมาก
Credit:Chill Chill Trip
เช้านี้ เราจองทัวร์เดินป่าเอาไว้ ชื่อ Extreme Onsen Tour ซึ่งเป็นการเดินป่าที่สนุก ตื่นเต้น เร้าใจและสวยมากๆ เราชอบที่ว่า เป็นที่เที่ยวแห่งใหม่ของฟุกุชิมะ ที่ยอมเปิดรับนักเดินป่าสมัครเล่น นักท่องเที่ยวเข้ามาในเขตพื้นที่อุทยานนี้ได้ จุดนัดพบของทัวร์ก็อยู่ตรงหน้าคาเฟ่โนแวร์ (Cafe & activity nowhere) ด้านข้างลอดจ์นี่เอง
Credit:Chill Chill Trip
ทัวร์จะพาเราขับรถมุ่งหน้าไปที่ทางเข้าของทริปเดินป่า ซึ่งใช้เวลาทั้งหมดราว 3 ชั่วโมง โดยมีค่าใช้จ่ายลดหลั่นกันไปตามจำนวนคน/ทริป ซึ่งจำกัดที่ 8 คนต่อทริป สามารถจองแล้วจ่ายเงินในวันเดินทางได้เลย สะดวกมากๆ
Credit:Chill Chill Trip
การค้นพบแหล่งกำเนิดน้ำพุร้อนของหมู่บ้านออนเซ็นที่นี่ กล่าวกันว่าเกิดขึ้นในปีค.ศ 1751 (ช่วงกลางยุคเอโดะ)มีการค้นพบน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิสูงที่กลางหุบเขากำมะถัน ตั้งแต่นั้นมา บ่อน้ำพุร้อนนี้ก็ถูกนำมาใช้สำหรับเกษตรกรในท้องถิ่นในช่วงนอกฤดูกาลเพาะปลูก
Credit:Chill Chill Trip
สมัยก่อน ที่นี่คือเหมืองกำมะถันที่มีการถลุงแร่ด้วย ดังนั้นจึงมีคนงานมาก และมีกิจกรรมต่อมามากมายทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า แต่ตอนนี้เหลือเพียงพื้นที่เดินป่าเท่านั้น และเป็นเขตที่ต้องได้รับอนุญาตจึงจะเข้าได้ เราชอบน้ำพุร้อนมากๆ
Credit:Chill Chill Trip
สีของน้ำเป็นสีขาวใสไปจนถึงสีขุ่นแบบมิลกี้ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุและดีต่อการบำบัดสุขภาพ และอุณหภูมิน้ำก็อุ่น จนบางจุดสามารถลงไปแช่ออนเซ็นกลางแจ้งได้ สมัยก่อนการที่จะต่อน้ำลงไปยังหมู่บ้านออนเซ็นด้านล่างทำได้ยากมาก เพราะอุณหภูมิของน้ำลดลง แต่ตอนนี้ดีขึ้นมาก
Credit:Chill Chill Trip
เสร็จจากทัวร์แล้ว เราให้รถของทัวร์มาส่งลงที่สถานีอินาวะชิโระ เพื่อจะได้เดินทางเที่ยวต่อไปยังบึงน้ำห้าสี หรือ Goshikinuma ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีมาก นั่งรถบัสหน้าสถานี แค่ 25 นาทีเท่านั้นเอง เราเลือกลงที่ป้าย Goshikinuma entrance (iriguchi)
Credit:Chill Chill Trip
โกะชิกินุมะ หรือ Goshikinuma
โกะชิกินุมะ หรือ Goshikinuma เป็นแอ่งน้ำที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟบันได (Mt.Bandai) เมื่อในอดีต แรงระเบิดทำให้เกิดบ่อน้ำมากมาย และสีของบ่อน้ำก็มีความเข้มข้นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแร่ธาตุในบ่อนั้นๆด้วย
Credit:Chill Chill Trip
บึงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและยอดนิยมที่สุด ชื่อว่า Bishamon-numa จุดนี้นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือพายเล่นรอบๆได้ รวมถึงซื้อขนม ของฝาก
Credit:Chill Chill Trip
แต่อยากให้แนะนำลองเดินรูทเดินป่าไปเรื่อยๆ ซึ่งระหว่างทางจะผ่านบึงอีกหลายแห่ง ที่มีความสวยงามไม่แพ้กันเลย ตรงสุดทางก็มีป้ายรถบัส ซึ่งสามารถนั่งกลับมาที่สถานีอินาวะชิโระ(Inawashiro station)ได้
Credit:Chill Chill Trip
วันนี้เราเที่ยวมาทั้งวันแล้ว เราเลยเลือกนั่งไนท์บัสเดินทางกลับโตเกียวเพื่อเป็นการเดินทางที่…คุ้มค่าทุกนาที แม้ไม่ต้องดูทีวีสีช่องไหน..โห ใครเข้าใจเนี่ย รู้อายุเลยนะ
Credit:Chill Chill Trip
สถานีโตเกียว
เรานั่งไนท์บัสมาถึงโตเกียวในช่วงเช้าแวะทานข้าว แล้วไปเดินเล่นถ่ายรูปต่อที่สถานีโตเกียวกันค่ะ
Credit:Chill Chill Trip
เมื่อเดินทางมาถึงที่สถานีโตเกียวแล้ว อยากขอแนะนำโซนถ่ายรูปที่สวยมากๆในช่วงเดือนพฤศจิกายนนั่นคือฝั่งทางออก Marunouchi
Credit:Chill Chill Trip
ฝั่งทางออกด้านนี้เป็นสถานที่ขึ้นชื่อเรื่องการถ่ายรูปที่ระลึกสถานีโตเกียวมากๆ ช่วงฤดูอื่นๆก็ว่าสวยด้วยอาคารโครงสร้างของสถานีแบบตะวันตกแล้ว
Credit:Chill Chill Trip
พอใบไม้เปลี่ยนสีกลับยิ่งทำให้บรรยากาศคลาสสิกเข้าไปอีก ที่โตเกียวมีมุมถ่ายรูปต้นแปะก๊วยมากมาย แต่หนึ่งในสถานที่ชื่อดังที่ไม่ควรพลาด ก็คือ ที่สถานีโตเกียวนี่แหละ
Credit:Chill Chill Trip
สรุป
การเดินทางท่องเที่ยวโทโฮคุในรูทของชิลชิลทริป เราเน้นการเดินทางด้วยความประหยัดที่สุด ใช้เวลาคุ้มค่าที่สุดและไปให้หลากหลายที่สุด เรากำหนดงบประมาณการเดินทางหลักๆ คือค่าห้อง ค่าพาสรถไฟ ค่าเข้าสถานที่ไว้ก่อนเดินทางเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงถือเป็นการวางแผนเฉพาะหน้าเท่านั้นเอง ช่วยให้การใช้จ่ายรัดกุมขึ้นเยอะ แม้จะเป็นตารางที่แน่นมาก แต่เราก็เต็มที่กับทุกสถานที่และยังคงหาเวลาไปอีกครั้งเพราะโทโฮคุ ครั้งเดียวไม่เคยพอจริงๆ หากใครสงสัยเรื่องตารางเดินทางสามารถเข้ามาสอบถามได้ที่เพจของชิลชิลทริปเลยจ้า
ติดตามข้อมูลอัพเดทเพิ่มเติมที่
ChillChillTrip | |
IG | ChillChillTrip |
YouTube | ChillChillTrip |
Clubhouse | ChillChillTrip |
รายละเอียด
Website | JR East Railway |
Website | รีวิววัดเซเรียวจิ |
Website | รีวิวพิพิธภัณฑ์เนบูตะ |
Website | รีวิวหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก |
Website | รีวิวNumajiri Kogen Lodge |
Website | รีวิว Extreme Onsen Tour |
Website | รีวิว Goshikinuma |
รีวิวนิยม
- 1 Saiko Iyashino Sato Nenba หมู่บ้านพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งโบราณพร้อมวิวภูเขาไฟฟูจิสุดอลังการ
- 2 วัดเขาทำเทียม สุพรรณบุรี เที่ยวชมพระพุทธรูปหินแกะสลักที่หน้าผา อู่ทอง สุพรรณบุรี ใกล้กรุงเทพ ไปเช้าเย็นกลับได้
- 3 กระรอกบิน ชูก้า ไกลเดอร์ (Sugar glider) มารู้จักนิสัย ราคา การเลี้ยงดู อาหาร ตากลมแบ๊วแสนน่ารักแต่นิยมการผาดโผน
- 4 แนะนำ 5 จุดถ่ายภาพสวยฤดูหนาว ในไอสึ(Aizu) จ.ฟุกุชิมะ (Fukushima) ที่ไม่ควรพลาด
- 5 sala ayutthaya (ศาลาอยุธยา) เที่ยวอยุธยา กับคาเฟ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา วิววัดพุทไธศวรรย์ ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพ