เที่ยวโทโฮคุ 2 วัน 1คืน Ep.1 เที่ยว 3 จังหวัด (Akita, Iwate, Aomori) เที่ยวง่าย มือใหม่ก็ไปได้

ชิลชิลทริปแนะนำเส้นทางท่องเที่ยวโทโฮคุแบบคนท้องถิ่น ชมหุบเขาเกบิเค เที่ยวทะเลสาบทาซาวะ นอนพักเรียวกังชื่อดังทามากาวะออนเซ็นและที่อื่นๆ อีกหลากหลาย

1 Day

  1. หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)
  2. ทามากาวะออนเซ็น Tamagawa Onsen (อาคิตะ)
  3. สะพานโอฮาชิ Ohashi Bridge (อาคิตะ)

2 Day

  1. ทะเลสาบโฮเซ็น Lake Hozen (อาคิตะ)
  2. ทะเลสาบทาซาวะ Lake Tazawa (อาคิตะ)
  3. หอคอยสังเกตการณ์อะชิเกซากิ Ashigezaki Observator (อาโอโมริ)
  4. ศาลเจ้าคาบุชิมะ Kabushima Shrine (อาโอโมริ)
  5. APA Hotel Aomorieki-Kenchodori (อาโอโมริ)
  6. สะพานอาโอโมริเบย์ (อาโอโมริ)

1 Day

ทริปนี้เราเริ่มต้นกันที่ สถานีโตเกียว โดยเรามีพาสโทโฮคุ 3 วันในราคา 12000 เยนที่เป็นตัวช่วยสำหรับทริปในครั้งนี้ ซึ่ง JR จะมีการแจ้งพาสใหม่เรื่อยๆ ให้เข้าไปเช็คที่เว็บไซต์ของJRได้ เค้ามีภาษาอังกฤษด้วยนะ เพื่ออัพเดทพาสในช่วงเวลานั้นๆ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

ที่สถานีโตเกียว จะเป็นต้นสถานีของชินคันเซ็นทุกเส้นทาง การมาขึ้นรถไฟที่นี่จึงค่อนข้างสบายๆ สังเกตว่าเส้นทางของชินคันเซ็นโทโฮคุ ทางเข้าจะเป็นสีเขียว แต่ถ้าเป็นเส้นทางไปโอซาก้าทางเข้าจะเป็นสีฟ้า อย่าหลงเชียวล่ะ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

รถไฟชินคันเซ็นสายโทโฮคุ มีรถไฟหลายเส้นทางมากๆ ทั้งระยะไกลและระยะใกล้ ดังนั้นการคำนวณเวลาจึงสำคัญมาก เพราะบางขบวนไม่ได้จอดที่สถานีที่เราต้องการลงนะ บางขบวนจอดบ่อยก็มี ใครกังวลเรื่องการอ่านป้ายก็ไม่ต้องห่วงเพราะมีภาษาอังกฤษกำกับทุกอย่าง

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

ทริปแรกของเราคือ หุบเขาเกบิเค (Geibikei) จ.อิวาเตะ (Iwate) การเดินทางมาที่นี่นั้นง่าย ไม่ต้องต่อรถไฟเยอะ คือเมื่อลงชินคันเซ็นที่สถานี Ichinoseki แล้วเปลี่ยนมานั่งรถไฟสาย Ofunato มาลงที่สถานี Geibikei ใช้เวลา 32 นาที ใครมีสัมภาระไซส์ใหญ่และต้องเดินทางกลับมาที่นี่อยู่แล้ว แนะนำฝากไว้ที่นี่เลย

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

บรรยากาศระหว่างสองข้างทางในตอนเช้า ที่มีหมอกจางๆ ทำให้คลายความง่วงไปในทันที วิวสวยมากๆ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

หุบเขาเกบิเค (Geibikei)

หุบเขาเกบิเค (Geibikei) เป็นหุบเขาลึกที่งดงามและเป็นสถานที่ที่ได้รับการกำหนดให้เป็นสถานที่แห่งความงดงามของทิวทัศน์ในระดับประเทศ ตึกสีน้ำตาลที่เห็นนี้เป็นจุดจำหน่ายตั๋วสำหรับล่องเรือชมบรรยากาศหุบเขาเกบิเค

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

ราคาตั๋วสำหรับล่องเรือ ผู้ใหญ่คนละ 1800 เยน เด็ก 1200 เยน ซึ่งใช้ระยะเวลาในการล่องเรือประมาณ 90 นาที ด้านในสามารถฝากสัมภาระได้

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

แม้ว่าเรามาช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่เรามาช้าไปหน่อยใบไม้เลยเริ่มล่วงจนจะหมดแล้ว แต่ก็ยังคงสวยงามอยู่ สีของใบไม้ตัดกับสีของท้องฟ้า มีเงาของเรือสะท้อนในน้ำให้ความรู้สึกสงบดีเนอะ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

แม้จะมากันแค่สองคน แต่อุปกรณ์การถ่ายภาพและวีดีโอก็ล้นมือกันมาก มีสองมือไม่พอจับก็ต้องใช้สองขามาช่วยหนีบ ฮ่าๆ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

หุบเขาเกบิเค (Geibikei) เป็นที่รู้จักในเรื่องคนพายเรือและหญิงชาวเรือที่ควบคุมเรือของพวกเขาในแม่น้ำด้วยเสาเดียว ด้วยเสียงเพลงพื้นบ้าน Geibi-oiwake ที่สะท้อนจากกำแพงหินที่สูงตระหง่าน, ต้นไม้เขียวขจีในฤดูใบไม้ผลิ, วิสทีเรีย, ลิลลี่เรย์สีทอง, ดอกไม้ Geibi-sekisho เฉพาะถิ่น, สีสันของฤดูใบไม้ร่วงที่สดใส, นกกระโถนและปลาน้ำจืดที่กระโจนขึ้นจากผิวน้ำและบรรยากาศให้ดื่มด่ำในทุกฤดูกาล สถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิคือดอกวิสทีเรียซึ่งเมื่อบานสะพรั่งจะทำให้เกิดดอกสีม่วงจำนวนมากที่เรียงตัวกันตามกำแพงหินที่โผล่พ้นน้ำทะเลใสตลอดแนวแม่น้ำ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

หุบเขาเกบิเคมีแม่น้ำซาเท็ตสึ (Satetsu)ที่ไหลผ่านตามแนวเขาระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร หุบเขาแห่งนี้เกิดจากแม่น้ำซาเท็ตสึ (Satetsu) กัดเซาะหินปูนโดยรอบ โดยถูกขนาบด้วยหน้าผาที่มีความสูงมากกว่า 100 เมตร

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

นี่เป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลต์ที่คุณลุงจะหยุดเรือให้เราได้โยนเหรียญ 5 เยน ให้ลองเสี่ยงทาย และไหว้ขอพร โดยคุณลุงบอกกับเราว่า หากโยนเหรียญอธิษฐานเข้ากล่องได้ จะสมหวัง เราก็เชื่อนะ โยนใหญ่เลยจ้า

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

Power Spot ที่ว่ากันว่าเมื่อเราผ่านที่นี่แล้วจะได้รับพลังงานด้านบวก ณ จุดนี้เราต้องกวักพลังงานเข้าหาตัวเองเลยนะ หรือจะกางแขนสองข้างออกแล้วสูดกลิ่นอายแห่งพลังงานบวกเข้าไปให้เต็มที่ (เรื่องความเชื่อต้องมาจ้า)

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

Sofu-gan Rock & Shofu-gan Rock ผาหินสองฝั่งที่ตั้งเด่นประชันกันบนแม่น้ำ Satetsu เค้าเปรียบเสมือนว่านี่คือคู่รักที่แต่งงาน

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

Daigeibi-gan ผาหินสูง 124 เมตร จุดท้ายสุดที่เราจะเดินไปชมธรรมชาติและถ่ายภาพ ใครอยากลองเสี่ยงทายโชคชะตาในด้านต่างๆก็ที่นี่เลย เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สนุกและสร้างเสียงหัวเราะได้เลย

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

Shishigahana (Lion`s Snout) หินรูปร่างแปลกมีรูปทรงคล้ายกับจมูกสิงโตและเป็นที่มาของชื่อหุบเขาเกบิเค โดยจุดนี้เราต้องเดินมาจากจุดจอดเรือ ซึ่งเค้าจะให้เวลาเราเดินชมบรรยากาศประมาณ 20 นาที

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

Undama ก้อนหินเสี่ยงหายที่มีตัวอักษรกำกับอยู่ในแต่ละก้อนมีมากถึง 10 แบบตัวอักษร อันมีความหมายได้แก่ 運โชคชะตา 寿อายุยืนยาว 福โชคดี 願สมหวัง 縁เนื้อคู่ 絆คู่แท้สายสัมพันธ์ที่ยืนยาว 恋ความรัก 繰ความมั่งคั่ง 財โชคลาภ 禄ทรัพย์สมบัติ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

Wishing Hole ช่องเสี่ยงทาย กล่าวกันว่าคุณจะสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาเมื่อสามารถโยน Undama หรือหินเสี่ยงทายเข้าในช่องนี้ได้ ขอบอกว่ายากสุดๆเพราะไกลมาก ก่อนจะโยนเข้าที่รูเล็กๆที่หน้าผานั่น ก็ต้องมีการขอพร ขอพลังก่อน อันนี้คิดเอาเองว่าทำแล้วอาจจะโยนเข้า ฮา สรุปไม่เข้าสักอัน

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

เมื่อมาถึงท้ายๆของการเดินทางหลังจากได้ฟังบทเพลงอันไพเราะจากกัปตันเรือแล้วก็เกิดความรู้สึกอยากไปยืนตรงตรงนั้นบ้างแม้จะร้องเพลงไม่ได้เหมือนเค้าหรอกนะ เลยขออนุญาตได้ลองจับไม้พายบ้าง ซึ่งพอได้จับแล้วต้องบอกว่า หนักเหลือเกิน ไม่รู้จะแกว่งไม้ไปทางไหน ฮ่าๆ (ลุงหันมาบอกว่า เอ่อ อินาง ตรงนี้น้ำลึกนะ ฮา ) คุณลุงเห็นท่าทางเราจริงจังเลยมอบหมวกให้เราใส่ด้วยพร้อมแจกมินิฮาร์ท

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

หลังจากที่ถ่อเรือจนสาแก่ใจ เหงื่อไหลย้อยกันไปแล้ว เราก็วิ่งวนกับหันซ้ายหันขวาถ่ายรูปและโบกมือทักทายเรือลำอื่นที่ผ่านมา

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

หากอยากได้ความซ่าเพื่อเพิ่มพลังให้ทริปการเดินทาง ก็ต้องโคล่าแบบขวดสะสมนะ ของจังหวัดอิวาเตะ มีขายที่ด้านหน้าเกบิเค

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

จากเกบิเค เราก็เดินทางมากันต่อที่สถานีรถไฟ Geibikei ซึ่งสามารถเดินไปได้โดยใช้เวลาราว 5 นาที ชานชลาอยู่ที่ชั้น 2 และไม่มีนายสถานี เชิญยืนตามอัธยาศัยจ้า

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

พอเข้ารถไฟได้แล้ว ก็มีบางคนที่ไม่ยอมนั่งให้เรียบร้อย เดินไปมาๆตลอดระยะเวลาที่รถไฟวิ่ง ไม่ทราบชื่อสกุล เก็บมาได้เพียงภาพถ่ายที่เป็นหลักฐานค่ะ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

ความมีตั๋วราคาเต็ม แต่เวลาใช้เหมือนจ่ายครึ่งราคาเพราะว่าเดินไปถ่ายรูปวิวมุมนั้นนี้ตลอดทุกช่วงเวลา รวมถึงเราด้วย ฮ่าๆ ให้มันได้อย่างนี้ทุกทริปสิ!

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

และแล้วเราก็เดินทางกลับมาที่สถานี Ichinoseki เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีเวลาเดินสอดส่องเรเดาร์หาขนมของกิน เราเจอซุนดะมันจู ขนมชื่อดังของจ.มิยางิ ซุนดะคือถั่วแระญี่ปุ่นที่ถูกนำมาบดหยาบและปรุงรสด้วยน้ำตาลและเกลือจนมีรสหวาน 

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

จากนั้น รอรถไฟขบวนต่อไปเพื่อไปยังสถานีโมริโอกะ (Morioka station) ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีเท่านั้น การใช้พาสเดินทางนี่มันคือสุดยอดจริงๆ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

ขอบอกว่า ห้ามแอบหลับ ห้ามแอบงีบเชียวนะ เพราะแค่อึดใจเดียวเราก็เดินทางมาสู่ชานชลาของสถานีโมริโอกะเรียบร้อย ไวปานแสง

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

แล้วเรายังมีเวลามาเดินเล่นภายในสถานีด้วยนะ โมริโอกะ (Morioka) เป็นเมืองหลักของจังหวัดอิวาเตะ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

เป็นเมืองที่มีทัศนียภาพงดงาม ล้อมรอบด้วยภูเขาทั้ง 3 ด้าน รวมกับแม่น้ำหลายสาย จริงๆหากมีเวลาก็น่ามาพักที่นี่ด้วยนะ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

จากนั้นเราก็เตรียมตัวเดินทางต่อไปยังสถานีอาคิตะ (Akita) ซึ่งจะเป็นจุดหมายปลายทางของวันนี้แล้ว

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

ขบวนชินคันเซ็นที่ผ่านสถานีนี้เพื่อไปยังจังหวัดอาคิตะนั้น ขอบอกนะคะว่าให้ดูดีๆ เรานั่งขบวนสีแดง Komachi จ้า เพราะมันจะพ่วงขบวนสีเขียวมาด้วยเสมอ แล้วเมื่อถึงทางแยกเพื่อไปสถานีอาคิตะ ขบวนจะแยกออกจากกัน

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

ในขบวนนี้เราสามารถนั่งๆ นอนๆ ชาร์จแบตมือถือได้เลยเพราะว่ากว่าจะถึงสถานีอาคิตะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อลงมาถึงสถานี จะเจอหัวมังกร สัญลักษณ์ของที่นี่เลยล่ะ

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

เนื่องจากสถานีนี้เป็นสถานีเล็ก อาจจะไม่มีขนม หรืออาหารเบาๆให้ซื้อมากนัก หากใครเน้นทริปกิน แนะนำให้ซื้อของกินมาตุนตั้งแต่สถานีโมริโอกะเลยจ้า ที่นี่มีแค่ร้านสะดวกซื้อเล็กๆ 1 ร้านเท่านั้น

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

สำหรับการเดินทางไปยังที่พักของคืนนี้ มีบริการรถบัสจากสถานีอาคิตะเลย ซึ่งแม้จะเป็นสถานีเล็กแต่ก็มีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวและจุดขายตั๋วรถต่างๆรวมถึงใกล้กันมีที่เช่ารถด้วย ใครจะพักแถบโซนนี้ แนะนำว่าควรอีเมลถามตรงกับโรงแรมเรื่องการเดินทางเข้าที่พัก

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

เราสามารถสอบถามตั๋วรถบัสสำหรับการเดินทางไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆรอบๆนี้ก็ได้ เช่น ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa) เราแนะนำว่าควรเอาเอกสารเกี่ยวกับท่องเที่ยวแถบนี้มาให้หมด พร้อมทั้งตารางเวลารถบัสต่างๆ ในสถานที่ๆเราอยากไป

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

การเดินทางไปยังที่พักคืนนี้ของเรา ค่อนข้างเต็มไปด้วยบรรยากาศการเดินทางที่สวยงาม รอบข้างยังคงหลงเหลือใบไม้เปลี่ยนสี

หุบเขาเกบิเค Geibikei (อิวาเตะ)

Credit:Chill Chill Trip

ทามากาวะออนเซ็น (Tamagawa Onsen)

รถบัสนำเราเข้ามาถึงที่พักสำหรับคืนนี้ ซึ่งเป็นที่พักที่เราระบุมาตั้งแต่วางแพลนแล้วว่า เราต้องมาให้ได้ ที่นี่คือ Tamagawa Onsen เรียวกังบ่อออนเซ็นโบราณ ความดั้งเดิมกลางหุบเขา จังหวัดอาคิตะ ควรจองอาหารค่ำและอาหารเช้าด้วย เนื่องจากที่นี่อยู่กลางป่า

ทามากาวะออนเซ็น (Tamagawa Onsen)

Credit:Chill Chill Trip

ทามากาวะออนเซ็นเป็นรีสอร์ทน้ำพุร้อนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะบนภูเขาของอุทยานแห่งชาติโทวาดะ – ฮาจิมันไต จังหวัดอาคิตะ ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องน้ำพุร้อนที่มีกรดมากที่สุดในญี่ปุ่นที่ค่า pH เกือบ 1 เปิดให้บริการแค่บางช่วง โดยจะปิดบริการประมาณพฤศจิกายน – กลางเมษายนสำหรับผู้มาแค่ชั่วคราว(มีผู้มาพักยาวแบบเป็นเดือนๆก็มี) ทามากาวะออนเซ็นดึงดูดผู้เข้าพักได้เป็นจำนวนมาก ผู้ที่เดินทางมาด้วยเหตุผลด้านสุขภาพเป็นหลักมากกว่าการพักผ่อน ทางเรียวกังจึงเน้นความสะอาดมากเป็นพิเศษ แต่ยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วไปเช่นกันโปรดทราบว่าเรียวกังจะปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนเมษายน (กรุณาตรวจสอบเพราะอาจเลื่อนจากสภาพอากาศ)

ทามากาวะออนเซ็น (Tamagawa Onsen)

Credit:Chill Chill Trip

บรรยากาศภายในห้องพัก ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน ทุกห้องปลอดบุหรี่ ในช่วงหน้าหนาวมีเครื่องทำความร้อนเป็นฮีทเตอร์แบบตั้งพื้น กาน้ำร้อนที่ต้องไปต้มน้ำเอง(ในห้องเอนกประสงค์) นอกนั้นคือชุดยูกาตะ ส่วนที่นอนต้องปูเองจ้า (ควรพกแปรงสีฟัน ยาสีฟันและผ้าขนหนูมาเอง) แนะนำว่าที่นี่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่เน้นความสะดวกสบายมาก เวลาจองห้องพักควรสั่งอาหารไว้เพราะที่นี่ไม่มีร้านค้าเลย และควรซื้อเสบียงเข้ามาไว้ทานยามหิวจ้า โปรดทราบว่าอาจจะได้กลิ่นกำมะถันด้วยนะ แนะนำปิดหน้าต่างให้เรียบร้อย

ทามากาวะออนเซ็น (Tamagawa Onsen)

Credit:Chill Chill Trip

เนื่องจากคุณภาพของน้ำพุร้อนค่อนข้างระคายเคืองต่อผิวหนังง่ายสำหรับทางท่าน ทางเรียวกังจึงแนะนำว่าควรค่อยๆนั่งลงไปให้ถึงแค่ช่วงอกก่อน จากนั้นเมื่อร่างกายปรับสภาพแล้วจึงค่อยๆหย่อนตัวลงไปให้ลึกขึ้นแต่ไม่แนะนำให้เอาน้ำพุร้อนลูบหน้า/ผิว ให้นั่งแช่เฉยๆ เพราะอาจจะแสบได้และอย่าลืมดื่มน้ำเปล่าก่อนและหลังแช่เสร็จแล้ว(มีตู้กดน้ำดื่มที่ด้านหน้าทางเข้าห้องอาบน้ำ)เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดเกิดภาวะขาดน้ำจากการเสียเหงื่อ ควรเตรียมผ้าเช็ดตัว/ผ้าขนหนูส่วนตัวไปด้วย

ทามากาวะออนเซ็น (Tamagawa Onsen)

Credit:Chill Chill Trip

สิ่งอำนวยความสะดวกในการอาบน้ำของ Tamagawa Onsen คือประกอบด้วยห้องอาบน้ำไม้ในร่มแบบแยกชายหญิงที่มีหลายบ่อสำหรับนักแช่ออนเซ็นที่มีประสบการณ์ เราจะสังเกตเห็นความเป็นกรดสูงซึ่งอาจทำให้แสบเล็กน้อยหากเรามีผิวบอบบางหรือมีบาดแผล เราแนะนำว่าไม่ควรใช้มือลูบผิวขณะแช่น้ำพุร้อน เราต้องนั่งเฉยๆนะ และเนื่องจากน้ำมีความเป็นกรดเราจึงไม่ควรนำโลหะต่างๆลงในน้ำด้วย เช่น แหวน สร้อยเพราะอาจเกิดการเปลี่ยนสีได้

ทามากาวะออนเซ็น (Tamagawa Onsen)

Credit:Chill Chill Trip

จากนั้น เมื่อเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางท่องเที่ยวแถวๆนี้ สำหรับคนที่ชอบการเดินเท้าอย่างพวกเรานั้น การเดินแค่ไม่กี่กิโลเมตรถือว่าสบายมากๆ ระหว่างทางจะผ่านอุโมงค์แบบนี้เป็นระยะ

ทามากาวะออนเซ็น (Tamagawa Onsen)

Credit:Chill Chill Trip

สะพานโอฮาชิ 玉川温泉大橋

เราเดินทางมาถึง สะพานโอฮาชิ 玉川温泉大橋 ซึ่งเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงกลางตุลาคม แต่เรามาช้าไปนิด เลยได้แค่เก็บบรรยากาศรอบๆเอา แต่ก็สวยมากๆนะ

สะพานโอฮาชิ  玉川温泉大橋

Credit:Chill Chill Trip

ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีทั่วทั้งภูเขาแถบทามากาวะออนเซ็นจะถูกฉาบเป็นสีส้มไปหมดเลย สวยมากอยากให้ทุกคนมาเห็นนะ เราเชื่อว่าทุกคนจะต้องประทับใจมากเลยล่ะ

สะพานโอฮาชิ  玉川温泉大橋

Credit:Chill Chill Trip

แต่อีกฝั่งสะพานจะเป็นโซนต้นสนที่เต็มไปด้วยหมอกของอากาศยามหนาว มาที่นี่แล้ว เหมือนได้มาเที่ยวสองฤดูกาลเลย

สะพานโอฮาชิ  玉川温泉大橋

Credit:Chill Chill Trip

สำหรับการเดินทางของวันที่ 2 นี้ เริ่มต้นด้วยความอเมซิ่งของควันจากแหล่งกำเนิดน้ำพุร้อนภายใต้พื้นดิน ที่พวยพุ่งออกมาเยอะมากๆ

สะพานโอฮาชิ  玉川温泉大橋

Credit:Chill Chill Trip

หุบเขาทามากาวะออนเซ็นที่มีภูเขาไฟนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่ายาวเจ็ดกิโลเมตรเหนือภูเขายาเคยามะที่อยู่ใกล้เคียงไปยังโกโชกาเกะออนเซ็นซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขาไฟที่มีน้ำพุร้อนอีกแห่ง

สะพานโอฮาชิ  玉川温泉大橋

Credit:Chill Chill Trip

ตลอดเส้นทางเดินในน้ำพุร้อนเราจะเห็นผู้คนมากมายนอนอยู่บนหินกัมมันตภาพรังสีขนาดเล็ก รังสีมาจากเรเดียม ผสมกับความอบอุ่นของหินทำให้ร่างกายดีขึ้น บางคนนอนอยู่บนหินเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำให้เราก็ต้องมานั่งอาบแสงแดดและสูดกลิ่นและไอควันจากกำมะถันเช่นกัน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็ต้องไม่พลาดสิจริงไหม

สะพานโอฮาชิ  玉川温泉大橋

Credit:Chill Chill Trip

มุมนี้ก็มีผู้มาเยือนปักหลักนอน นั่ง เพื่อรับความร้อนจากหินและไอจากกำมะถันจากน้ำพุร้อน ถือเป็นสถานที่มหัศจรรย์และเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของชีวิตที่ควรได้มาเห็นกับตากันสักครั้ง

สะพานโอฮาชิ  玉川温泉大橋

Credit:Chill Chill Trip

เนินเขาด้านในสุดนี้ถือว่ามีกลิ่นของกำมะถันค่อนข้างแรง แต่เราสามารถเดินวนรอบได้ เพราะมีทางเดินให้เดินอย่างสะดวก

สะพานโอฮาชิ  玉川温泉大橋

Credit:Chill Chill Trip

ทะเลสาบโฮเซ็น Lake Hozen

จากนั้นเราก็เดินทางด้วยรถบัสจากเรียวกังทามากาวะ ลงที่ป้าย Ogamibashi เพื่อมาต่อที่ทะเลสาบโฮเซ็น บริเวณนี้เรียกว่า สะพานโอกามิ (Ogami Bridge) เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างเขื่อนทามากาวะ และเป็นเส้นทางถนนที่มุ่งหน้าไปยังสวน Iwanome ที่อยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบโฮเซ็น สะพานมีความยาว 430 เมตร จากด้านบนสะพานเราสามารถมองเห็นทะเลสาบเป็นสีเขียวมรกต

ทะเลสาบโฮเซ็น Lake Hozen

Credit:Chill Chill Trip

ซึ่งที่นี่เราจะสังเกตเห็นแถบภูเขา Hachimandaira ล้อมรอบอยู่ทั่วจังหวัดอาคิตะและจังหวัดอิวาเตะ โดยมีเส้นทางที่มุ่งตรงไปยังบ่อน้ำพุร้อน Gozaisho ในอิวาเตะ และ ไปยังบ่อน้ำพุร้อน Toroko ในอาคิตะได้ วิวยอดเขาHachimandaira และ Hachiman เป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีน้ำพุร้อนที่โดดเด่นของภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) จากตรงจุดนี้จึงเป็นทะเลสาบโฮเซ็น ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำทามะ

ทะเลสาบโฮเซ็น Lake Hozen

Credit:Chill Chill Trip

เงาของภูเขา Hachimandaira สะท้อนลงในทะเลสาบโฮเซ็นที่คดเคี้ยวไปตามแนวภูเขา เป็นความสวยที่สะกดตามากถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดในการถ่ายภาพ

ทะเลสาบโฮเซ็น Lake Hozen

Credit:Chill Chill Trip

ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa)

แล้วเราก็เดินทางมาต่อกันที่ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa) ด้วยรถบัสในเส้นทางเดิม เพิ่มเติมคือวิวที่สวยขึ้น แนะนำว่าควรกะเวลาวันที่สองดีๆ เพราะสวยงามทุกที่จริงๆ

ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa)

Credit:Chill Chill Trip

แม้การเดินทางของเราจะล่วงเลยมาเดือนพฤศจิกายนแล้ว ซึ่งถือเป็นช่วงปลายของใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ แต่ความงดงามยังคงสมบูรณ์

ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa)

Credit:Chill Chill Trip

ครั้งนี้เราจะไปเที่ยวชมLake Tazawa (田沢湖, Tazawako) ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของอุทยานแห่งชาติ Towada-Hachimantai เป็นทะเลสาบ Caldera หรือเป็นทะเลสาบอันเกิดจากหลุมปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดจากปล่องภูเขาที่ระเบิดพ่นเถ้าลาวาแล้วเย็นและยุบ ที่สวยงามซึ่งไม่ได้รับการพัฒนามากเกินไปและยังคงรักษาบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติและเรียบง่าย จุดที่เราเห็นนี่คือศาลเจ้าโกซาโนะอิชิ (Gozanoishi shrine) นั่งบัสมาลงที่ป้าย Gozanoishi Jinja-mae

ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa)

Credit:Chill Chill Trip

ศาลเจ้าโกซาโนะอิชิจึงเป็นที่รู้จักกันในนาม “เทพผู้พิทักษ์แห่งความงาม” และได้รับความนิยมในแง่ของการขอพรให้มีรูปร่างหน้าตาดีและเป็นที่รักใคร่ ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากตำนานของเจ้าหญิงทัตสึโกะผู้ปรารถนาอยากมีความงามและอ่อนเยาว์

ศาลเจ้าโกซาโนะอิชิ

Credit:Chill Chill Trip

เธอจึงสวดภาวนากับเจ้าแม่กวนอิมเพื่อช่วยให้เธอยังคงความสาวและสวยงามตลอดไป เจ้าแม่กวนอิมจึงบอกวิธีให้เธอ เจ้าหญิงทัตสึโกะจึงเดินทางไปที่ทะเลสาบทาซาวะและดื่มน้ำตามที่เจ้าแม่กวนอิมบอก แต่ไม่ว่าเธอจะดื่มน้ำมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถดับกระหายของเธอได้ และเมื่อเธอเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในทะเลสาบ ก็พบว่าเธอได้กลายร่างเป็นมังกร เธอจึงตกใจพร้อมกับกระโดดจมลงไปในทะเลสาบ

ศาลเจ้าโกซาโนะอิชิ

Credit:Chill Chill Trip

แต่ในความเศร้าก็ยังมีความสุข เมื่อมีชายคนหนึ่งชื่อ ฮาจิโรงาตะผู้ซึ่งกลายเป็นมังกรในทะเลสาบฮาจิโรงาตะที่อยู่ทางเหนือของทะเลสาบทาซาวะ เขาได้ตกหลุมรักทัตสึโกะ และจะไปเที่ยวที่ทะเลสาบทาซาวะทุกฤดูหนาวเพื่อที่จะอยู่กับเธอ และด้วยความรักทั้งสองได้ทำให้เกิดพลังความร้อนที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ไม่กลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว..ตามตำนานเล่ากันมาแบบนี้นะ แต่ในความเป็นจริงคือทะเลสาบทาซาวะมีความลึกที่สุดในญี่ปุ่นดังนั้นน้ำจึงไม่สามารถแข็งตัวได้ * สำหรับจุดที่เป็นรูปปั้นทัตสึโกะนี้ ต้องนั่งรถบัสไปต่อลงป้าย Katajiri

ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa)

Credit:Chill Chill Trip

ยังจ้าๆ ทริปของเรายังไม่หยุดแค่นี้ ใครเป็นคนชอบถ่ายภาพนะ จะต้องบริหารเวลาให้ดีมากๆเลยล่ะ เพราะความงดงามของทะเลสาบทาซาวะจะทำให้เราตกรถไฟได้เลยล่ะ เรากลับมารอรถไฟที่สถานีอาคิตะเพื่อเดินทางต่อไปยังสถานี Hachinohe บนเส้นทางชินคันเซ็น

ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa)

Credit:Chill Chill Trip

สถานีฮาจิโนะเฮะ (Hachinohe station) เป็นสถานีใหญ่ที่อยู่ในจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) เราเดินทางข้ามจังหวัดกันมาอีกแล้วนะ ที่นี่เราจะเดินทางไปเที่ยวทะเลกันต่อ

ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa)

Credit:Chill Chill Trip

Ashigezaki Observator (ชมหอคอยสังเกตการณ์อะชิเกซากิ)

จากนั้นเราก็ต่อรถบัสเพื่อไป เที่ยว Ashigezaki Observator (ชมหอคอยสังเกตการณ์อะชิเกซากิ) เมืองฮาจิโนเฮะ Hachinohe ที่จังหวัดอาโอโมริ ในอดีตที่นี่เคยใช้เป็นสถานที่ทางทหารของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงปลายสงครามแปซิฟิก

Ashigezaki Observator (ชมหอคอยสังเกตการณ์อะชิเกซากิ)

Credit:Chill Chill Trip

ที่นี่เป็นทั้งจุดชมวิว เส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติ เดินเล่น หรือถ่ายภาพ ที่เราจะได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดมากๆ มีแผนที่และเส้นทางที่แนะนำในการเดินสำรวจตามแนวชายหาด ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร เนื่องจากที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของ Sanriku Fukko National park ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งของจังหวัดอาโอโมริ จังหวัดอิวาเตะและบางส่วนของจังหวัดมิยางิในปัจจุบันโดยมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน

Ashigezaki Observator (ชมหอคอยสังเกตการณ์อะชิเกซากิ)

Credit:Chill Chill Trip

วิวที่เรามองลงมาจากหอคอยสังเกตการณ์อะชิเกซากิ ด้านล่างมีโขดหินน้อยใหญ่มากมาย เราสามารถเดินลงไปด้านล่างได้ด้วยนะ

Ashigezaki Observator (ชมหอคอยสังเกตการณ์อะชิเกซากิ)

Credit:Chill Chill Trip

วิวยามเย็นช่วงประมาณบ่าย 4 สวยงามและมีความสุขมากๆ ได้ยินเสียงคลื่นน้ำทะเลเบาๆ ช่วงฤดูร้อนหญ้าแถบนี้จะเป็นสีเขียวสดใสเลยล่ะ พอได้นั่งปล่อยขารับลมเย็นๆแบบนี้แล้ว ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ปล่อยกาย ใจและอารมณ์ไปอย่างสบายใจก็ได้เวลาพอสมควรที่จะเดินไปยังจุดอื่นต่อแล้ว เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆ วิวสวยมากๆ จากจุดนี้ไปฝั่งตรงข้ามฟากทะเลอีก 6,500 km คือ ฮาวายนะเออ

Ashigezaki Observator (ชมหอคอยสังเกตการณ์อะชิเกซากิ)

Credit:Chill Chill Trip

ศาลเจ้าคาบุชิมะ Kabushima Shrine

แล้วเราก็มาเดินเล่นกันต่อกันที่ศาลเจ้าคาบุชิมะ Kabushima Shrine โดยใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที ที่นี่เป็นศาลเจ้าที่งดงามตั้งอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบด้วยทะเล ศาลเจ้าเป็นที่ประดิษฐานเทพธิดา Benzaiten ชาวประมงท้องถิ่นและชาวเมืองมานานหลายศตวรรษมาที่ศาลเจ้าเพื่ออธิษฐานขอให้โชคดีธุรกิจตกปลาและอื่นๆ สำหรับในยุคปัจจุบันก็มาอธิษฐานเรื่องหุ้น

ศาลเจ้าคาบุชิมะ Kabushima Shrine

ศาลเจ้าคาบุชิมะ สร้างขึ้นจริงๆครั้งแรกในปี 1296 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในท้องถิ่นเนื่องจากมีสถานะเป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติแห่งชาติซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกนางนวลหางดำจำนวนมาก

ศาลเจ้าคาบุชิมะ Kabushima Shrine

Credit:Chill Chill Trip

เนื่องจากคำว่า “คาบุ” ในคาบุชิมะอาจหมายถึงทั้ง “หัวผักกาด” และ “สต๊อก” ในภาษาญี่ปุ่นศาลเจ้าจึงเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับผู้คนที่มาขอพรให้โชคดีในตลาดหุ้นเช่นเดียวกับคนจำนวนไม่น้อยที่มาเพื่ออธิษฐานขอความนิยมของตัวเอง ศาลเจ้าบอกเราว่า หากผู้ใดมาสักการะสวดมนต์สามรอบในวันงู (ตามปฏิทินจีน) สามครั้ง ท่านก็จะมั่งคั่งในทางการเกษตรและโชคดี เนื่องจากงูและมังกรเป็นอวตารของเทพBenzaiten

ศาลเจ้าคาบุชิมะ Kabushima Shrine

Credit:Chill Chill Trip

ศาลเจ้าแห่งนี้เคยถูกไฟไหม้จนหมดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2015 แต่ได้มีการสร้างขึ้นใหม่และเปิดใหม่อย่างเป็นทางการ แต่ทางขึ้นด้านหน้าเหลือการก่อสร้างอีกนิดหน่อย (ธันวาคม 2020) ด้านล่างเป็นท่าเรือและจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามมาก

ศาลเจ้าคาบุชิมะ Kabushima Shrine

Credit:Chill Chill Trip

ด้านบนสามารถเดินเล่นรอบๆได้ วิวแบบ 360 องศานี้เป็นความงดงามของธรรมชาติจริงๆ หากมาในช่วงเช้าที่มีนกนางนวลเยอะคงได้ยินเสียงนกร้อง เพราะช่วงบ่ายนกหายไปแล้ว ฮา สำหรับขนาดของเกาะ เกาะนี้เป็นเกาะรูปทรงน้ำเต้ายาวประมาณ 300 เมตร กว้างประมาณ 140 เมตร สูงประมาณ 19 เมตร มีเส้นรอบวงประมาณ 800 เมตร

ศาลเจ้าคาบุชิมะ Kabushima Shrine

Credit:Chill Chill Trip

จากนั้นเราก็เดินทางต่อ ต้องขึ้นรถบัสที่ปากทางเข้า จากป้าย 「 Kabushima Kaihin Koen 」 บนรถบัสสาย Umineko ไปลงที่สถานี Same แล้วนั่งรถไฟต่อเพื่อกลับไปยังสถานีฮาจิโนะเฮะ (Hachinohe) แล้วนั่งชินคันเซ็นไปสถานีชินอาโอโมริ

ศาลเจ้าคาบุชิมะ Kabushima Shrine

Credit:Chill Chill Trip

จากนั้นเราก็เปลี่ยนขบวนรถไฟมานั่งรถไฟทั่วไปเพื่อไปต่อยังจุดหมายปลายทางของคืนนี้ โดยเราลงรถไฟที่สถานี JR Aomori

ศาลเจ้าคาบุชิมะ Kabushima Shrine

Credit:Chill Chill Trip

ที่เมืองอาโอโมริ ก็เป็นหนึ่งในเมืองยอดนิยมของภูมิภาคโทโฮคุ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเราจะเห็นต้นแปะก๊วยสีเหลืองอร่ามแม้ยังค่ำคืนก็เห็นได้ชัด

ศาลเจ้าคาบุชิมะ Kabushima Shrine

Credit:Chill Chill Trip

สำหรับคืนนี้เรานี้ เรามาพักกันที่ APA Hotel Aomorieki-Kenchodori โลเคชั่นดี ราคาสบายๆ เดินจากสถานอาโอโมริได้ และที่สำคัญคือราคาสบายๆ

APA Hotel Aomorieki-Kenchodori

Credit:Chill Chill Trip

เป็นห้องที่พักได้สองคน มีห้องน้ำ อ่างอาบน้ำและอุปกรณ์ในห้องน้ำครบนะ ถือว่าโอเคเลยล่ะ เพราะเรามาถึงค่ำแล้วและออกเดินทางแต่เช้า

APA Hotel Aomorieki-Kenchodori

Credit:Chill Chill Trip

มีชุดยูกาตะไว้ให้สวมใส่นอน แม้จะเป็นห้องที่นอนสองคนได้ แต่อย่าลืมว่าเครือโรงแรม APA (อะพา) เป็นโรงแรมที่เน้นความประหยัด เดินไม่ไกลจากสถานี และห้องจึงไม่ใหญ่มาก แต่ก็ใช้พื้นที่ได้คุ้มค่ามาก ยังมีตู้เย็นเล็ก โต๊ะทำงาน กาน้ำร้อน(ซื้อน้ำมาใส่เองนะ) ทีวีจอขนาดใหญ่

APA Hotel Aomorieki-Kenchodori

Credit:Chill Chill Trip

เมื่อเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกมาเดินเล่นชมวิวยามค่ำคืนของเมืองอาโอโมริกันบ้าง นี่คือ สะพานอ่าวอาโอโมริ Aomori Bay Bridge (青森ベイブリッジ)

APA Hotel Aomorieki-Kenchodori

Credit:Chill Chill Trip

สะพานอ่าวอาโอโมริ Aomori Bay Bridge (青森ベイブリッジ)

สะพานอ่าวอาโอโมริ Aomori Bay Bridge (青森ベイブリッジ) เป็นสะพานขึงในจังหวัดอาโอโมริสร้างขึ้นเพื่อบรรเทาการสัญจรของเรือบรรทุกสินค้า มีลักษณะโดดเด่นสวยงามเหนืออ่าวอาโอโมริรอบๆมีจุดพักผ่อนและถ่ายภาพที่วิวสวยงามของเมืองอาโอโมริ

สะพานอ่าวอาโอโมริ Aomori Bay Bridge (青森ベイブリッジ)

Credit:Chill Chill Trip

จุดเด่นของที่นี่คือ เรือ Hakoda Maru (Hakodate Ferryboat Memorial Ship “Hakkoda-Maru” ) ซึ่งปลดระวางไปแล้ว ถูกสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2507 เป็นเรือขนส่งที่บรรทุกรถไฟจากอาโอโมริทางตอนเหนือของเกาะฮอนชูไปยังฮาโกดาเตะทางตอนใต้ของเกาะฮอกไกโด

สะพานอ่าวอาโอโมริ Aomori Bay Bridge (青森ベイブリッジ)

Credit:Chill Chill Trip

ระหว่างทางก็เพลิดเพลินไปด้วยการชมผลหมากรากไม้ตลอดทาง ฮ่าๆ มันคือแอปเปิ้ลจ้า เป็นแอปเปิ้ลที่เป็นไม้ประดับแต่น่ารักมากๆเลย

สะพานอ่าวอาโอโมริ Aomori Bay Bridge (青森ベイブリッジ)

Credit:Chill Chill Trip

สรุป

การเดินทางท่องเที่ยวโทโฮคุในรูทของชิลชิลทริป เราเน้นการเดินทางด้วยความประหยัดที่สุด ใช้เวลาคุ้มค่าที่สุดและไปให้หลากหลายที่สุด เรากำหนดงบประมาณการเดินทางหลักๆ คือค่าห้อง ค่าพาสรถไฟ ค่าเข้าสถานที่ไว้ก่อนเดินทางเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงถือเป็นการวางแผนเฉพาะหน้าเท่านั้นเอง ช่วยให้การใช้จ่ายรัดกุมขึ้นเยอะ แม้จะเป็นตารางที่แน่นมาก แต่เราก็เต็มที่กับทุกสถานที่และยังคงหาเวลาไปอีกครั้งเพราะโทโฮคุ ครั้งเดียวไม่เคยพอจริงๆ หากใครสงสัยเรื่องตารางเดินทางสามารถเข้ามาสอบถามได้ที่เพจของชิลชิลทริปเลยจ้า

ติดตามข้อมูลอัพเดทเพิ่มเติมที่

FacebookChillChillTrip
IGChillChillTrip
YouTubeChillChillTrip
ClubhouseChillChillTrip

รายละเอียด

WebsiteJR East Railway
Websiteรีวิวเกบิเค
Websiteรีวิวทามากาวะออนเซ็น
Websiteรีวิวทะเลสาบโฮเซ็น
Websiteรีวิวทะเลสาบทาซาวะ
Websiteรีวิวหอคอยสังเกตการณ์ Ashigezaki Observator
Websiteรีวิวศาลเจ้าคาบูชิมะ
Websiteรีวิวโรงแรม
Websiteรีวิวสะพานอาโอโมริเบย์
  1. 1 CAFE THE PARK คาเฟ่วิวภูเขาฟูจิ ชิคๆริมทะเลสาบยามานาคา (Lake Yamanaka) วิวภูเขาไฟฟูจิ (Mt.Fuji) ชิมแพนเค้กแสนอร่อยสูตรต้นตำรับ
  2. 2 กระรอกบิน ชูก้า ไกลเดอร์ (Sugar glider) มารู้จักนิสัย ราคา การเลี้ยงดู อาหาร ตากลมแบ๊วแสนน่ารักแต่นิยมการผาดโผน
  3. 3 คาเฟ่ขอนแก่น ร้านปั้นแป้งเบคอะเค้ก ขนมอร่อย เครื่องดื่มหลากหลาย คาเฟ่เก๋ ๆ สไตล์ญี่ปุ่น ของคนเมืองขอนแก่น
  4. 4 Hie shrine ศาลเจ้าฮิเอะ ขอพรเรื่องธุรกิจเจริญรุ่งเรือง สมหวังเรื่องความรัก ในโตเกียว Tokyo
  5. 5 เฟอเรท (Ferret) วิธีเลี้ยง อาหาร นิสัยของเจ้าเฟอเรทที่มาพร้อมกับความซุกซนอันแสนน่ารัก